แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ในกรณีที่เจ้าของร่วมสองคนในโฉนดได้แยกกันครอบครองที่ดินตามทิศทางเมื่อข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่าฝ่ายหนึ่งได้ครอบครองเนื้อที่มากกว่าอีกฝ่ายหนึ่งแล้ว ต้องถือว่าต่างมีส่วนเท่าๆ กันและควรแบ่งให้แต่ละฝ่ายตามทิศทางที่ครอบครองอยู่นั้น (อ้างฎีกาที่ 1993/2500)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า ที่ดินตามโฉนดตราจองที่ 1801 เดิมนางจีดได้จดทะเบียนยกให้นางไข่ถือกรรมสิทธิ์ร่วมด้วยกึ่งหนึ่ง ร่วมกันครอบครอง ยังไม่ได้แบ่งกันเป็นส่วนสัด ต่อมาจำเลยได้จดทะเบียนโอนรับมรดกส่วนของนางจีด โจทก์ขอทะเบียนรับมรดกนางไข่และครอบครองร่วมกันมา ต่อมาโจทก์ขอส่วนแบ่งครั้งหนึ่ง จำเลยไม่ยอม ขอให้พิพากษาให้จำเลยแบ่งที่ดินตามโฉนดตราจองนั้นให้โจทก์ครึ่งหนึ่ง
จำเลยให้การว่า ที่พิพาทจำเลยครอบครองประมาณ 5 ไร่โจทก์ครอบครองประมาณ 3 ไร่ ได้แบ่งเขตกันเป็นส่วนสัดและได้แยกกันครอบครอง จำเลยครอบครองมาเกิน 10 ปีแล้ว ขอให้ยกฟ้องโจทก์
ศาลชั้นต้นเห็นว่า ข้อเท็จจริงยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยครอบครอง 5 ไร่ พิพากษาให้แบ่งที่ดินโฉนดตราจองที่ 1801 ออกเป็นสองส่วนเท่า ๆ กัน ให้โจทก์ได้ซีกด้านตะวันตก จำเลยได้ซีกด้านตะวันออก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ฟังว่าจำเลยได้ครอบครองที่พิพาท 5 ไร่มาเกิน 10 ปี แล้วพิพากษาให้โจทก์ได้ซีกด้านตะวันตกเนื้อที่ 3 ไร่ 1 งาน 20 วาจำเลยได้ซีกตะวันออกเนื้อที่ 5 ไร่
โจทก์จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า คดีมีหลักฐานฟังได้ว่าได้แยกกันครอบครองที่พิพาทเป็นส่วนสัดแล้ว โดยจำเลยครอบครองทางทิศตะวันออก โจทก์ครอบครองทางทิศตะวันตก พยานหลักฐานของจำเลยยังไม่พอจะรับฟังว่าจำเลยได้ครอบครองจำนวน 5 ไร่ ต้องถือว่าโจทก์จำเลยมีส่วนเท่ากันแต่ทางพิจารณาปรากฏว่าต่างได้แยกกันครอบครองมาก่อนแล้ว จึงควรแบ่งให้แต่ละฝ่ายได้ตามทิศทางที่ครอบครองอยู่ตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 1993/2500
พิพากษาแก้ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น