คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2515/2531

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

การที่จำเลยที่ 2 ทำสัญญาค้ำประกันกับโจทก์เพื่อการปฏิบัติงานและเพื่อความเสียหายอันเกิดจากจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นบุตรทำงานกับโจทก์โดยที่ผู้ร้องผู้เป็นมารดาของจำเลยที่ 1และเป็นภริยาของจำเลยที่ 2 ไม่คัดค้าน แต่ผู้ร้องมิได้เป็นคู่สัญญาหรือยินยอมด้วย กรณีเป็นการเฉพาะตัวของจำเลยที่ 2ผู้ค้ำประกันโดยตรง ไม่เกี่ยวข้องกับกิจการอันจำเป็นในครอบครัวหรือเกี่ยวข้องกับสินสมรสหรือเกิดจากการงานที่ผู้ร้องกับจำเลยที่ 2 ทำด้วยกัน จึงไม่เป็นหนี้ร่วมตามนัย มาตรา 1490 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ผู้ร้องไม่ต้องผูกพันในมูลหนี้เรียกทรัพย์คืนและค้ำประกันที่โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ที่ 2 และมีสิทธิร้องขอกันส่วนในที่พิพาทกึ่งหนึ่งในฐานะผู้ถือกรรมสิทธิ์รวมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 287

ย่อยาว

ศาลพิพากษาให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้ละเมิดและตามสัญญาค้ำประกัน จำเลยไม่ชำระ โจทก์ได้บังคับคดีนำยึดที่ดิน 1 แปลงของจำเลยที่ 2 ผู้ร้องยื่นคำร้องว่าเป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของจำเลยที่ 2 ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในคดี ขอให้กันส่วนของผู้ร้องกึ่งหนึ่ง โจทก์ให้การว่าผู้ร้องรู้เห็นเป็นใจในการก่อหนี้ต้องรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม ศาลชั้นต้นยกคำร้อง ผู้ร้องอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้กันเงินที่ได้จากการขายทรัพย์ให้แก่ผู้ร้องกึ่งหนึ่ง โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่าเดิมโจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้ละเมิดและผิดสัญญาค้ำประกัน ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้ให้โจทก์เป็นเงินจำนวน 170,658.73 บาท พร้อมดอกเบี้ยและค่าฤชาธรรมเนียมตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 689/2524 ของศาลชั้นต้น จำเลยทั้งสองไม่ชำระหนี้ ชั้นบังคับคดีโจทก์นำยึดที่ดินแปลงพิพาท ตามโฉนดเลขที่ 17384 ตำบลไร่สะท้อน อำเภอบ้านลาด จังหวัดเพชรบุรีเอกสารหมาย ร.3 และ จ.1 ซึ่งมีชื่อผู้ร้องและจำเลยที่ 2เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ คดีมีปัญหาว่า ผู้ร้องมีสิทธิขอกันส่วนของตนในที่พิพาทหรือไม่ ได้ความจากผู้ร้องว่า สัญญาค้ำประกันการปฏิบัติงานจำเลยที่ 1 ซึ่งจำเลยที่ 2 กระทำต่อโจทก์นั้นผู้ร้องไม่ได้รู้เห็นยินยอมหรือลงนามในสัญญาด้วย ทั้งจำเลยที่ 1ก็พักอาศัยอยู่กับนายปิ่น อินงาม ก่อนที่จะทำงานกับโจทก์ผู้ร้องมีนายปิ่น อินงาม เบิกความสนับสนุนว่า จำเลยที่ 1ไปพักอาศัยที่บ้านจริง ฝ่ายโจทก์มีนายนาวี ปัญญาณธรรม ประธานสหกรณ์โจทก์เบิกความยืนยันว่าทั้งก่อนและหลังที่จำเลยที่ 1ทำงานกับโจทก์ จำเลยที่ 1 ก็อยู่บ้านเดียวกับผู้ร้องในบ้านพักของสหกรณ์ โจทก์มีนายมานะ อ่อนนุ่ม ผู้ช่วยผู้จัดการสหกรณ์โจทก์เบิกความสนับสนุนว่า เมื่อจำเลยทั้งสองถูกฟ้อง จำเลยทั้งสองกับผู้ร้องหลบหนีออกไปจากสหกรณ์ พิจารณาแล้วเห็นว่า คดีคงฟังได้เพียงว่าจำเลยที่ 2 ทำสัญญาค้ำประกันเพื่อการปฏิบัติงานและเพื่อความเสียหายอันเกิดจากจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นบุตร โดยผู้ร้องซึ่งเป็นมารดาและภริยา จำเลยที่ 1 ที่ 2 ตามลำดับไม่คัดค้านเมื่อจำเลยที่ 2 สามีผู้ร้องทำสัญญาค้ำประกันต่อโจทก์โดยไม่ปรากฏว่าผู้ร้องร่วมเป็นคู่สัญญาหรือยินยอมด้วย ทั้งการค้ำประกันก็เป็นการเฉพาะตัวของผู้ค้ำประกันโดยตรง ไม่เกี่ยวข้องกับกิจการอันจำเป็นในครอบครัว หรือเกี่ยวข้องกับสินสมรสหรือเกิดจากการงานซึ่งผู้ร้องกับจำเลยที่ 2 ทำด้วยกัน ไม่เป็นหนี้ร่วมระหว่างผู้ร้องกับจำเลยที่ 2 ตามความหมายของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1490 ผู้ร้องจึงไม่ต้องผูกพันในมูลหนี้เรียกทรัพย์คืนและค้ำประกันที่โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ที่ 2 และมีสิทธิร้องขอกันส่วนในที่พิพาทกึ่งหนึ่งซึ่งผู้ร้องมีส่วนในฐานะผู้ถือกรรมสิทธิ์รวมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 287 ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยให้กันเงินกึ่งหนึ่งที่ได้จากการขายทอดตลาดทรัพย์ที่ยึดให้ผู้ร้อง ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share