คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 250/2497

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เดิมบิดาและมารดาทำสัญญาประนีประนอมยกที่ดินที่ปกครองรวมกัน ให้แก่บุตรชาย บุตรหญิงรวม 2 คนๆละ 1 ส่วนเท่าๆกัน แต่บุตรจะเข้าครอบครองได้ต่อเมื่อบิดามารดาตายหมดแล้วทั้งสองคน ครั้นบิดาตายไปก่อนคนเดียว มารดาจึงทำสัญญาจะขายที่ดินนั้นแก่ผู้อื่น บุตรชายจึงฟ้องมารดา ในที่สุดศาลพิพากษาบังคับมารดาไม่ให้ขายที่พิพาทนั้น มารดาจึงบอกเลิกข้อผูกพันกับผู้ซื้อ และห้ามมิให้ผู้ซื้อเก็บผลประโยชน์ในที่ดินพิพาทอีกต่อไป ดังนี้ ผู้ซื้อจะมาฟ้องมารดาให้โอนที่ดินส่วนของบุตรหญิงให้ผู้ซื้อตามสัญญาเดิมนั้น ย่อมไม่ได้ และจะเรียกค่าเสียหายในฐานที่ถูกมารดาห้ามไม่ให้เก็บผลประโยชน์ในที่พิพาทต่อไปก็ไม่ได้
และสำหรับมารดาก็จะฟ้องเรียกค่าผลประโยชน์ที่ผู้ซื้อได้จากที่ดินนั้นคืน ก็ไม่ได้เช่นเดียวกันเพราะมารดาได้มอบที่ดินให้เขาเก็บผลประโยชน์เอาตามสัญญาจะซื้อขาย

ย่อยาว

กรณีได้ความว่า เดิมนางปรางจำเลยที่ ๑ ได้ทำสัญญาจะขายสวนยางพิพาทให้กับโจทก์ เป็นราคา ๓๕,๕๐๐ บาท โดยสัญญาชำระเงินเป็นงวดๆ ต่อมาก็ได้ชำระเงินราคากันเสร็จสิ้น และนางปรางจำเลยที่ ๑ ได้ทำหนังสือมอบอำนาจให้โจทก์เข้าครอบครองเก็บผลประโยชน์ในสวนยางรายนี้แต่ยังไม่ได้ไปทำสัญญาซื้อขายกันต่ออำเภอ นายกิมโพ่บุตรเลี้ยงได้ฟ้องนางปรางจำเลย จนศาลพิพากษาบังคับห้ามนางปรางจำเลย ไม่ให้ขายสวนยางพิพาท นางปรางจำเลยจึงบอกเลิกข้อผูกพันกับโจทก์ ห้ามมิให้โจทก์เก็บผลประโยชน์ในสวนยางพิพาทอีกต่อไป โจทก์จึงมาฟ้องนางปรางจำเลยที่ ๑ และนางกิมม่วยจำเลยที่ ๒ อ้างวาการบอกเลิกสัญญาดังกล่าว ทำให้โจทก์เสียหายเป็นเงิน ๒๒๕๐๐ บาท และว่าศาลสั่งห้ามขายเฉพาะส่วนของนายกิมโพ่ครึ่งหนึ่งนั้น จำเลยทั้งสองยังมีสิทธิขายส่วนของตน จึงขอให้ศาลบังคับให้จำเลยโอนกรรมสิทธิสวนยางพิพาทเฉพาะส่วนของจำเลยให้โจทก์ ให้จำเลยคืนเงินค่าขายสวนครึ่งหนึ่ง และให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย ฯลฯ
จำเลยที่ ๑ ปฏิเสธความรับผิด และฟ้องแย้งว่า จำเลยกรีดเอาน้ำยางในสวนพิพาทไป เมื่อหักค่าใช้จ่ายแล้ว คิดเป็นเงิน ๑๒๑,๕๐๐ บาท เมื่อหักกลบลบกับจำนวนเงิน ๓๕,๕๐๐ บาท ที่จำเลยรับไปจากโจทก์แล้ว โจทก์ต้องรับผิดใช้แก่จำเลยอีก ๘๖,๐๐๐ บาท จึงขอให้ศาลบังคับโจทก์ใช้เงินดังกล่าว
จำเลยที่ ๒ ปฏิเสธความรับผิดว่า ไม่เกี่ยวข้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ เว้นแต่คำขอให้จำเลยคืนเงินค่าขายสวนพิพาท คือให้จำเลยคืนเงินค่าขายสวนพิพาทเป็นเงิน ๑๗,๗๕๐ บาทตามขอ และให้โจทก์ใช้เงิน ๔๐,๐๐๐ บาทแก่จำเลยตามฟ้องแย้ง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ ให้ยกฟ้องแย้งของจำเลยนอกนั้นคงยืน
โจทก์และจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นฟ้องกับศาลล่างทั้งสองว่า ไม่มีทางจะบังคับให้จำเลยโอนขายสวนพิพาทเป็นส่วนของจำเลยที่ ๒ ให้แก่โจทก์ตามสัญญาจะซื้อขายได้ เพราะโดยคำวินิจฉัยของคำพิพากษาในคดีที่นายกิมโพ่ ฟ้องนางปรางจำเลย ส่วนเรื่องค่าเสียหายนั้น โจทก์มิได้ฟ้องเรียกค่าเสียหายเนื่องจากผิดสัญญาซื้อขายโดยตรง หากแต่โจทก์เรียกค่าเสียหายที่จำเลยห้ามไม่ให้โจทก์เก็บผลประโยชน์ในสวนพิพาท ซึ่งจำเลยมอบให้โจทก์เก็บผลประโยชน์แต่เดิมตามสัญญาได้แล้ว ก็ไม่มีสิทธิจะเรียกค่าเสียหายในการที่ไม่ได้เก็บผลประโยชน์ในสวนพิพาทดังฟ้อง
ส่วนฎีกาของจำเลยนั้น ตามข้อเท็จจริง แสดงให้เห็นว่า จำเลยได้มอบสวนยางพิพาทให้โจทก์เข้าจัดการตามสัญญาจะซื้อขายโดยเด็ดขาด ผลประโยชน์ที่เก็บได้ หาจำต้องคืนจำเลยที่ ๑ ไม่
คงพิพากษายืน

Share