คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2498/2543

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้โจทก์จะมีผู้เสียหายเป็นประจักษ์พยานเพียงปากเดียว แต่ผู้เสียหายก็เบิกความได้ข้อเท็จจริงชัดเจนเป็นขั้นเป็นตอนสอดคล้องกันอย่างมีเหตุมีผล ผู้เสียหายกับจำเลยเป็นคนตำบลเดียวกัน เคยเห็นหน้ากันบ่อยครั้งเพียงแต่ไม่เคยพูดคุยกัน สถานที่เกิดเหตุอยู่ริมถนนที่โล่งแจ้งในเวลากลางวัน จำเลยไม่ได้ปกปิดหรืออำพรางใบหน้า ผู้เสียหายมีโอกาสมองเห็นและจดจำรูปร่างหน้าตาจำเลยได้ ที่ผู้เสียหายยืนยันตลอดมาว่าสามารถจดจำจำเลยได้จึงน่าเชื่อ พยานฐานที่อยู่ของจำเลย ไม่อาจรับฟังหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้ ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า จำเลยเป็นคนร้ายกระทำความผิดฐานชิงทรัพย์
จำเลยกระทำการชิงทรัพย์โดยจำเลยนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ซึ่งพวกของจำเลยเป็นผู้ขับแล่นคู่กับรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหาย จำเลยถีบรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายพร้อมกระตุกสร้อยคอทองคำของผู้เสียหายทางด้านหลัง ทำให้รถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายล้มลง ผู้เสียหายกระเด็นออกไปจากรถและได้รับบาดเจ็บที่แขนทั้งสองข้าง หัวเข่า และใบหน้าถลอกมีโลหิตไหล ถือได้ว่าจำเลยมีความผิดฐานชิงทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นรับอันตรายแก่กาย ตาม ป.อ. มาตรา 339 วรรคสาม
การที่จำเลยนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์มากระทำการชิงทรัพย์จนได้ทรัพย์ไป โดยพวกของจำเลยติดเครื่องรถจักรยานยนต์รออยู่ แล้วจำเลยเดินไปขึ้นนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์หลบหนี แสดงว่าจำเลยมีเจตนาที่จะใช้รถจักรยานยนต์คันดังกล่าวเป็นยานพาหนะในการกระทำความผิดฐานชิงทรัพย์เพื่อพาทรัพย์นั้นไปและหลบหนีเพื่อให้พ้นจากการจับกุม การกระทำของจำเลยจึงเป็นการชิงทรัพย์โดยใช้รถจักรยานยนต์เป็นยานพาหนะ ตาม ป.อ. มาตรา 340 ตรี

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตาม ป.อ. มาตรา 339 วรรคสาม, 340 ตรี, 83 ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืนแก่ผู้เสียหายจำนวน 12,500 บาท
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 339 วรรคสาม ประกอบด้วยมาตรา 340 ตรี, 83 ให้ลงโทษจำคุก 15 ปี กับให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ 12,500 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า… พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุ มีคนร้ายชิงทรัพย์ผู้เสียหายไปตามฟ้อง คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยเป็นคนร้ายรายนี้หรือไม่ เห็นว่า แม้โจทก์จะมีผู้เสียหายเป็นประจักษ์พยานเพียงปากเดียวมาเบิกความเพื่อยืนยันข้อเท็จจริงดังกล่าว แต่ผู้เสียหายก็เบิกความได้ข้อเท็จจริงชัดเจนเป็นขั้นเป็นตอนสอดคล้องต้องกันอย่างมีเหตุมีผล ผู้เสียหายกับจำเลยเป็นคนตำบลเดียวกัน เคยเห็นหน้ากันบ่อยครั้งเพียงแต่ไม่เคยพูดคุยกัน สถานที่เกิดเหตุก็เป็นริมถนนที่โล่งแจ้งในเวลากลางวัน จำเลยไม่มีอุปกรณ์ใดปกปิดหรืออำพรางใบหน้า ประกอบกับขณะที่จำเลยลงจากรถจะมาเก็บเอาสร้อยคอทองคำที่ตกอยู่ริมถนนได้มีการพูดโต้ตอบกับผู้เสียหายอยู่ชั่วขณะหนึ่ง ผู้เสียหายมีโอกาสมองเห็นและจดจำรูปร่างหน้าตากันได้ ดังนั้นที่ผู้เสียหายยืนยันตลอดมาว่าสามารถจดจำจำเลยได้จึงน่าเชื่อ ดังจะเห็นว่าผู้เสียหายได้สืบเสาะจนรู้ว่าจำเลยทำงานเป็นยามรักษาการณ์อยู่ที่ห้างหุ้นส่วนจำกัดพรเกษม จึงชี้ให้สิบตำรวจเอกมนตรีจับกุมตัวได้อย่างไม่มีการลังเล ส่วนที่จำเลยนำสืบต่อสู้คดีโดยอ้างฐานที่อยู่นั้น นอกจากจะไม่มีเหตุผลในการรับฟังแล้วยังไม่น่าเชื่อ ไม่อาจรับฟังเพื่อหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้ ข้อเท็จจริงจึงฟังได้โดยปราศจากสงสัยว่า จำเลยเป็นคนร้ายรายนี้
ที่จำเลยฎีกาว่าผู้เสียหายเพียงมีบาดแผลถลอกยังถือไม่ได้ว่าเป็นบาดแผลถึงกับเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กายตาม ป.อ. มาตรา 339 วรรคสาม แต่เป็นเพียงความผิดตาม ป.อ. มาตรา 391 เท่านั้น เห็นว่า จากการกระทำครั้งนี้ผู้เสียหายยืนยันว่าได้รับบาดเจ็บที่แขนทั้งสองข้าง หัวเข่า และใบหน้าถลอกมีโลหิตไหล แต่ตามผลการตรวจชันสูตรบาดแผลไม่ระบุว่ามีโลหิตไหลหรือไม่ อาจจะเป็นเพราะแพทย์ตรวจภายหลังเกิดเหตุถึง 2 วัน ก็เป็นได้ และจากบาดแผลดังกล่าวถือได้แล้วว่าผู้เสียหายได้รับอันตรายแก่กาย ตาม ป.อ. มาตรา 339 วรรคสาม แล้ว และที่จำเลยฎีกาอีกว่า เมื่อคนร้ายถีบรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายและกระตุกสร้อยคอทองคำผู้เสียหายนั้น สายสร้อยขาดตกลงสู่พื้นดินห่างจากผู้เสียหาย 1 เมตร ห่างจากคนร้าย 10 เมตร จึงถือได้ว่าทรัพย์นั้นยังอยู่ในความครอบครองของผู้เสียหาย การลักทรัพย์ยังไม่สำเร็จ ต่อเมื่อคนร้ายเดินมาหยิบเอาสร้อยคอทองคำไปแล้วจึงถือว่าคนร้ายลักทรัพย์สำเร็จ การกระทำของคนร้ายในตอนนี้ไม่ได้ใช้ยานพาหนะแต่เป็นการเดินมาลักทรัพย์ เมื่อคนร้ายหยิบสร้อยคอทองคำแล้วได้เดินไปขึ้นรถจักรยานยนต์ก็เป็นการพาทรัพย์ไปโดยการเดิน หลังจากนั้นคนร้ายได้ขึ้นรถจักรยานยนต์เดินทางต่อไปตามปกติของตน เพราะก่อนเกิดเหตุคนร้ายก็เดินทางโดยใช้รถจักรยานยนต์อยู่แล้ว การกระทำของคนร้ายจึงมิใช่เป็นการใช้รถจักรยานยนต์เป็นพาหนะเพื่อการกระทำความผิดนั้น เห็นว่า การที่จำเลยนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์มากระทำการชิงทรัพย์จนได้ทรัพย์ไปเรียบร้อย โดยพวกของจำเลยติดเครื่องรถจักรยานยนต์รออยู่แล้วจำเลยได้เดินไปขึ้นนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์คันดังกล่าวหลบหนีไปนั้น แสดงว่าจำเลยมีเจตนาที่จะใช้รถจักรยานยนต์ที่พวกของจำเลยติดเครื่องรออยู่นั้นเป็นยานพาหนะในการกระทำความผิดฐานชิงทรัพย์เพื่อพาทรัพย์นั้นไปและหลบหนีเพื่อให้พ้นจากการจับกุม การกระทำของจำเลยจึงเป็นการชิงทรัพย์โดยใช้รถจักรยานยนต์เป็นยานพาหนะ ตาม ป.อ. มาตรา 340 ตรี ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำเลยต้องกันมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.

Share