แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่าภายหลังจากที่จำเลยรับมอบปุ๋ยจากโจทก์แล้วจำเลยไม่ปฏิบัติตามสัญญาไม่ชำระค่าปุ๋ยตามกำหนดเวลาในสัญญาไม่ทำรายงานจำนวนปุ๋ยที่จำหน่ายไปแล้วและปุ๋ยคงเหลือและไม่ส่งบัญชีรายชื่อผู้ซื้อปุ๋ยให้โจทก์ทราบภายในวันที่5ของทุกเดือนตามแบบที่โจทก์กำหนดอันเป็นสาระสำคัญของสัญญาข้ออ้างของโจทก์จึงเป็นเรื่องของสัญญาข้อ13และข้อ15ที่ตกลงว่าหากจำเลยผิดสัญญาในส่วนนี้อยู่มีผลตามสัญญาข้อ17ที่ระบุว่าถ้าตัวแทนซึ่งหมายถึงจำเลยปฏิบัติผิดสัญญาข้อหนึ่งข้อใดโจทก์มีสิทธิบอกเลิกสัญญาหรือตัดสิทธิการเป็นตัวแทนและมีสิทธิริบหลักประกันตามสัญญาข้อ18.1หรือเรียกร้องให้ธนาคารผู้ค้ำประกันชำระเงินทันทีตามสัญญาข้อ18.2พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ15ต่อปีนับแต่วันผิดนัดจนถึงวันชำระเงินให้แก่ตัวการเสร็จสิ้นเท่านั้นซึ่งตามสัญญาตัวแทนจำหน่ายปุ๋ยดังกล่าวไม่มีข้อใดระบุว่าเมื่อจำเลยผิดสัญญาจะต้องชดใช้ค่าใช้จ่ายอีกตันละ500บาทดังกรณีตามที่กำหนดไว้ในสัญญาข้อ10แต่อย่างใดดังนี้เมื่อจำเลยผิดสัญญาโดยมิได้คืนปุ๋ยแก่โจทก์และโจทก์ฟ้องจำเลยให้ชำระค่าปุ๋ยทั้งหมดโจทก์ย่อมไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหายในการคืนปุ๋ยแก่โจทก์ไม่ถูกต้องกรณีไม่อาจที่จะแปลว่าเมื่อจำเลยไม่คืนปุ๋ยย่อมฟังเป็นปริยายว่าปุ๋ยขาดจำนวนไปจากการดูแลรักษาของจำเลย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลจัดตั้งขึ้นตามพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร พ.ศ. 2517 เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน2527 จำเลยทำสัญญารับเป็นตัวแทนของโจทก์ในการจำหน่ายปุ๋ยให้แก่เกษตรกรโดยมีสัญญาว่าให้จำเลยส่งเงินค่าปุ๋ยแก่โจทก์ทุกวันที่ 15 และวันสิ้นเดือนของทุกเดือน ส่วนเงินค้างชำระส่งให้เสร็จสิ้นภายในกำหนดเวลาในสัญญา หากผิดนัดให้คิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี และจำเลยต้องดูแลปุ๋ยมิให้ขาดจำนวนขาดน้ำหนักหรือเสื่อมคุณภาพ หากปุ๋ยขาดจำนวน ขาดน้ำหนักหรือเสื่อมคุณภาพจำเลยต้องรับผิดชดใช้ราคาทุนบวกค่าใช้จ่ายอีกต้นละ 500 บาท หลังจากทำสัญญาแล้ว โจทก์ส่งปุ๋ยสูตร 16-20-0ให้แก่จำเลยเพื่อจัดจำหน่ายให้แก่เกษตรกรตามสัญญา จำเลยรับปุ๋ยจากโจทก์ 3 ครั้ง รวม 150 ตัน ราคาต้นละ 4,200 บาทคิดเป็นเงิน 630,000 บาท โดยธนาคารศรีนคร จำกัดทำสัญญาค้ำประกันหนี้ค่าปุ๋ยในวงเงิน 630,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปีภายหลังจากที่จำเลยรับมอบปุ๋ยจากโจทก์แล้วจำเลยไม่ปฏิบัติตามสัญญา กล่าวคือจำเลยไม่ชำระค่าปุ๋ยจำนวน630,000 บาท ตามกำหนดเวลาในสัญญาไม่ทำรายงานจำนวนปุ๋ยที่จำหน่ายไปแล้วและปุ๋ยที่คงเหลือและไม่ส่งบัญชีรายชื่อผู้ซื้อปุ๋ยให้โจทก์ทราบภายในวันที่ 5 ของทุกเดือน ตามแบบที่โจทก์กำหนดอันเป็นสาระสำคัญของสัญญา จำเลยจึงต้องรับผิดต่อโจทก์ตามสัญญาและจำเลยต้องรับผิดชดใช้ราคาทุนบวกค่าใช้จ่ายอีกตันละ 500 บาท กับดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปีนับแต่วันผิดนัดคือวันที่ 20 มิถุนายน 2538 ซึ่งเป็นวันครบกำหนดตามสัญญารวมจำเลยต้องชำระหนี้ค่าปุ๋ยให้แก่โจทก์ 681,701 บาท และค่าใช้จ่ายตันละ 500 บาท จำนวน 150 ตัน คิดเป็นเงิน75,000 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 756,701 บาท กับดอกเบี้ยนับแต่วันผิดนัดคือวันที่ 20 มิถุนายน 2528 ถึงวันที่ 6 กรกฎาคม2531 อัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 756,701 บาท เป็นเงิน346,112.96 บาท รวมต้นเงินและดอกเบี้ยเป็นเงิน 1,102,813.96 บาทโจทก์เรียกเงินจากธนาคารศรีนคร จำกัด ผู้ค้ำประกันซึ่งผู้ค้ำประกันได้ชำระหนี้แทนจำเลยให้แก่โจทก์แล้ว 689,156.59 บาทคงค้างชำระ 413,654.37 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปีในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ 7 กรกฎาคม 2531 คิดถึงวันฟ้องดอกเบี้ยเป็นเงิน 369,228.79 บาท รวมต้นเงินและดอกเบี้ยถึงวันฟ้องเป็นเงิน 782,883.16 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน782,883.16 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปีของต้นเงิน 413,654.37 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 681,701 บาทแก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 20 มิถุนายน2528 ถึงวันที่ 7 กรกฎาคม 2531 คำนวณยอดหนี้ได้จำนวนเท่าไรให้หักออกด้วยจำนวน 689,156.59 บาท ซึ่งโจทก์ได้รับชำระแล้วเหลือจำนวนเท่าไรให้ถือเป็นต้นเงินที่จำเลยต้องรับผิดชำระให้แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปีนับแต่วันที่ 7 กรกฎาคม 2531จนกว่าจะชำระเสร็จ
โจทก์ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ ภาค 3 พิพากษายืน
โจทก์ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยว่า เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2527 จำเลยทำสัญญาเป็นตัวแทนจำหน่ายปุ๋ยของโจทก์เป็นเวลา 1 ปี ตามสัญญาตัวแทนจำหน่ายปุ๋ยเอกสารหมาย จ.1 จำเลยรับปุ๋ยรวม 150 ตันไปจำหน่ายแต่ไม่เคยชำระค่าปุ๋ยให้แก่โจทก์คิดเป็นเงิน 681,701 บาท
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ประการแรกว่า จำเลยจะต้องรับผิดชดใช้ค่าใช้จ่ายอีกตันละ 500 บาท ตามสัญญาข้อ 10พร้อมดอกเบี้ยหรือไม่ โดยสัญญาข้อ 10 ระบุว่า “ตัวแทนจะต้องดูแลรักษาปุ๋ยที่รับมอบมิให้ขาดจำนวน ขาดน้ำหนัก หรือเสื่อมคุณภาพนับแต่วันรับมอบปุ๋ยจากตัวการเป็นต้นไปหากขาดจำนวน ขาดน้ำหนักหรือเสื่อมคุณภาพตัวแทนจะต้องรับผิดชดใช้ราคาทุนบวกค่าใช้จ่ายอีกตันละ 500 บาท” ซึ่งศาลอุทธรณ์ภาค 3 เห็นว่า ข้อสัญญาดังกล่าวเป็นการกำหนดค่าเสียหายในการคืนปุ๋ยแก่โจทก์ไม่ถูกต้องแต่กรณีนี้จำเลยมิได้คืนปุ๋ยแก่โจทก์ และโจทก์ฟ้องจำเลยให้ชำระค่าปุ๋ยทั้งหมด โจทก์จึงไม่อาจเรียกค่าเสียหายส่วนนี้อีกที่โจทก์ฎีกาว่า ตามสัญญาข้อ 10 มิได้จำกัดเฉพาะการคืนปุ๋ยแต่รวมถึงกรณีจำเลยไม่คืนปุ๋ยให้โจทก์ด้วย เมื่อสัญญาตัวแทนจำหน่ายปุ๋ยสิ้นสุดลง จำเลยมีหน้าที่จะต้องส่งปุ๋ยคืนโจทก์ แต่ไม่ส่งมอบปุ๋ยคืนให้ ย่อมฟังเป็นปริยายได้ว่าปุ๋ยขาดจำนวนไปจากการดูแลรักษาของจำเลยนั้นเห็นว่า โจทก์ฟ้องว่า ภายหลังจากที่จำเลยรับมอบปุ๋ยจากโจทก์แล้วจำเลยไม่ปฏิบัติตามสัญญา กล่าวคือ จำเลยไม่ชำระค่าปุ๋ยจำนวน 630,000 บาท ตามกำหนดเวลาในสัญญาไม่ทำรายงานจำนวนปุ๋ยที่จำหน่ายไปแล้วและปุ๋ยคงเหลือ และไม่ส่งบัญชีรายชื่อผู้ซื้อปุ๋ยให้โจทก์ทราบภายในวันที่ 5 ของทุกเดือนตามแบบที่โจทก์กำหนดอันเป็นสาระสำคัญของสัญญา ข้ออ้างของโจทก์ดังกล่าวเป็นเรื่องของสัญญาข้อ 13 และข้อ 15 ซึ่งหากจำเลยผิดสัญญาในส่วนนี้ย่อมมีผลตามสัญญาข้อ 17 ซึ่งสัญญาข้อ 17 ระบุว่าถ้าตัวแทนซึ่งหมายถึงจำเลยปฏิบัติผิดสัญญาข้อหนึ่งข้อใด ตัวการซึ่งหมายถึงโจทก์มีสิทธิบอกเลิกสัญญาหรือตัดสิทธิการเป็นตัวแทนและมีสิทธิริบหลักประกันตามสัญญาข้อ 18.1 หรือเรียกร้องให้ธนาคารผู้ค้ำประกันตามสัญญาข้อ 18.2 ชำระเงินทันทีพร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันผิดนัดจนถึงวันชำระเงินให้แก่ตัวการเสร็จสิ้น ตามสัญญาดังกล่าวไม่มีข้อใดระบุว่า เมื่อจำเลยผิดสัญญาจะต้องชดใช้ค่าใช้จ่ายอีกตันละ 500 บาท ดังกรณีตามที่กำหนดไว้ในสัญญาข้อ 10 แต่อย่างใด ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3วินิจฉัยว่า สัญญาข้อ 10 เป็นการกำหนดค่าเสียหายในการคืนปุ๋ยแก่โจทก์ไม่ถูกต้องนั้นชอบแล้ว ไม่อาจที่จะแปลว่าเมื่อจำเลยไม่คืนปุ๋ยย่อมฟังเป็นปริยายว่าปุ๋ยขาดจำนวนไปจากการดูแลรักษาของจำเลย
พิพากษายืน