คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2491/2523

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยอ้างว่าได้ชำระหนี้บางส่วนให้โจทก์แล้วตามเอกสารหมาย ล.1 ถึงล.9 ที่จำเลยอ้างเป็นพยาน และได้ส่งสำเนาให้แก่โจทก์ก่อนวันสืบพยาน แล้ว แม้โจทก์จะไม่คัดค้านการอ้างเอกสารนั้น ก็ไม่ตัดอำนาจของศาล ในอันที่จะไต่สวนและชี้ขาดในเรื่องการมีอยู่ความแท้จริง หรือความถูกต้องของเอกสารเช่นว่านั้นตามความในวรรคท้ายของมาตรา125 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นหนี้โจทก์ค่าซื้อสินค้า 35,289 บาท สัญญาจะชำระภายใน 30 วัน ครบกำหนดแล้วจำเลยไม่ชำระ ขอให้ศาลบังคับจำเลยชำระหนี้ 35,289 บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์

จำเลยให้การว่าได้ชำระหนี้ให้โจทก์แล้ว 24,246 บาท โจทก์มาฟ้องเรียกเต็มจำนวนเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 35,289 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งแก่โจทก์

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกาว่าในการอ้างเอกสารหมาย ล.1 ถึง ล.9 จำเลยได้ส่งสำเนาเอกสารดังกล่าวให้โจทก์ก่อนวันสืบพยานแล้ว โจทก์ไม่ได้คัดค้านการอ้างเอกสารนั้น จึงต้องฟังตามที่จำเลยอ้างว่าจำเลยได้ชำระหนี้ให้โจทก์แล้ว

ศาลฎีกาเห็นว่า สิทธิในการอ้างเอกสารเป็นพยานกับการที่จะรับฟังข้อเท็จจริง ตามเอกสารที่อ้างหรือไม่นั้นเป็นคนละเรื่องคนละปัญหากัน ตามความในวรรคท้ายของมาตรา 125 นั้นเองได้บัญญัติไว้อย่างชัดเจนแล้วว่า แม้คู่ความจะอ้างเอกสารนั้นได้ก็ไม่ตัดอำนาจของศาลในอันที่จะไต่สวนและชี้ขาดเรื่องการมีอยู่ความแท้จริงหรือความถูกต้องของเอกสารเช่นว่านั้น การที่ศาลอุทธรณ์ไม่เชื่อว่าเอกสารนั้นเป็นหลักฐานการรับเงินที่โจทก์ทำให้ไว้ จึงเป็นอำนาจของศาลอุทธรณ์ที่จะวินิจฉัยเช่นนั้นได้

พิพากษายืน

Share