แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
การที่โจทก์ทั้งสองร่วมกันรับซื้อฝากที่ดิน แล้วแบ่งแยกที่ดินดังกล่าวระหว่างที่ยังอยู่ในระยะเวลาขายฝาก และเมื่อที่ดินหลุดเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ทั้งสองเพียง 5 เดือน โจทก์ทั้งสองก็ขายที่ดินต่อให้บุคคลอื่นไป แสดงว่าโจทก์ทั้งสองร่วมกันรับซื้อฝากที่ดินดังกล่าวไว้โดยมุ่งในทางการค้าหากำไร เงินได้จากการขายที่ดินต้องนำมารวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและถือได้ว่าโจทก์ทั้งสองเป็นผู้ประกอบการค้าอสังหาริมทรัพย์ตามที่กำหนดไว้ในบัญชีอัตราภาษีการค้าประเภทการค้าที่ 11
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 2 ประเมินภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจากโจทก์ทั้งสองในฐานะห้างหุ้นส่วนสามัญประจำปีภาษี พ.ศ. 2518 และ พ.ศ. 2519และประเมินภาษีการค้าที่ดินในเดือนสิงหาคม 2519 โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์การประเมิน จำเลยที่ 3 ถึงที่ 5 ซึ่งเป็นคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์พิจารณาแล้วมีคำสั่งให้ลดเงินเพิ่มภาษีบุคคลธรรมดาและภาษีการค้าลง คงเรียกเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 63,243.02บาท และภาษีการค้า 181,663.35 บาท ก่อนแจ้งคำวินิจฉัยอุทธรณ์จำเลยที่ 1 ได้ยึดที่ดินของโจทก์ที่ 1 รวม 45 โฉนด โจทก์ทั้งสองไม่ต้องเสียภาษีอากรตามกฎหมาย ขอให้เพิกถอนการประเมิน คำวินิจฉัยอุทธรณ์ และการยึดที่ดินดังกล่าว จำเลยทั้งห้าให้การว่าในปีพ.ศ. 2518, 2519 โจทก์ทั้งสองมีรายได้จากการขายของเบ็ดเตล็ดและการขายผลไม้ เฉพาะปี พ.ศ. 2519 โจทก์ทั้งสองมีรายได้จากการขายที่ดินที่รับซื้อฝากไว้แล้วหลุดเป็นสิทธิซึ่งจะต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และโจทก์ขายที่ดินอย่างมุ่งค้าหากำไรอันเป็นการประกอบการค้าประเภทการค้า 11 จึงต้องเสียภาษีการค้าเจ้าพนักงานประเมินแจ้งการประเมินให้โจทก์ทั้งสองทราบแล้วโจทก์ทั้งสองไม่ชำระ เป็นภาษีอากรค้าง จำเลยที่ 1 จึงมีอำนาจยึดทรัพย์ของโจทก์ได้ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 12 ขอให้ยกฟ้องศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า การที่โจทก์ทั้งสองขายที่ดินที่รับซื้อฝากจนหลุดเป็นสิทธิคืนแก่ญาติผู้ขายฝากยังไม่พอฟังว่าโจทก์ขายที่ดินไปโดยมุ่งในทางการค้าหากำไร ไม่ต้องเสียภาษีการค้าและภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา พิพากษาให้เพิกถอนการประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ดังกล่าวเสีย คำขออื่นให้ยกศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ทั้งสอง นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นโจทก์ทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาสู่การพิจารณาของศาลฎีกาเพียงว่า การรับซื้อฝากที่ดินของโจทก์ทั้งสองเป็นการมุ่งในทางการค้าหรือหากำไรหรือไม่ ข้อนี้ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่ได้เถียงกันฟังยุติว่า โจทก์ทั้งสองเป็นหุ้นส่วนกัน เมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2518โจทก์ทั้งสองตกลงรับซื้อฝากที่ดินจำนวน 3 โฉนดไว้จากนางเรียนวิเศษสินธ์ ในราคา 1,800,000 บาท มีกำหนดเวลา 1 ปี ก่อนครบกำหนดเวลาไถ่คืน โจทก์ทั้งสองได้ทำการแบ่งแยกที่ดินโฉนดหนึ่งออกเป็นสองแปลง ครบกำหนดเวลาไถ่คืนนางเรียนไม่ไถ่ ที่ดินที่ขายฝากหลุดเป็นสิทธิแก่โจทก์ทั้งสอง หลังจากนั้นโจทก์ทั้งสองขายที่ดินที่รับซื้อฝากไว้ทั้งหมดให้นายวินัย พันธุมจินดา น้องชายนางเรียนในราคา 1,898,000 บาท เจ้าพนักงานประเมินจึงประเมินให้โจทก์ทั้งสองชำระภาษีเงินได้และภาษีการค้าดังที่โจทก์นำคดีมาฟ้องในปัญหาตามที่โจทก์ทั้งสองฎีกา โจทก์ทั้งสองนำสืบว่า นางเรียมมาขอไถ่ที่ดินคืนเมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาขายฝากแล้ว โจทก์ทั้งสองตกลงให้ไถ่แต่ขัดข้องที่สำนักงานที่ดินไม่สามารถจดทะเบียนให้ได้ทางสำนักงานที่ดินแนะนำให้ทำเป็นสัญญาซื้อขาย
จำเลยทั้งห้านำสืบว่า ในระหว่างปี 2516 ถึงปี 2520 โจทก์ที่ 2ได้ทำการขายที่ดินไปประมาณ 50 ครั้ง สำหรับการรับซื้อฝากครั้งนี้โจทก์ทั้งสองรับซื้อฝากไว้หลายแปลง แล้วทำการแบ่งแยกในนามของตนเองและเมื่อที่ดินหลุดเป็นสิทธิแล้ว ก็ขายให้ผู้อื่นไปภายในเวลา5 เดือน ในราคาที่สูงกว่าราคาที่รับซื้อฝากไว้
พิเคราะห์แล้ว เห็นว่าการที่โจทก์ทั้งสองตกลงร่วมกันรับซื้อฝากที่ดินตามฟ้องไว้ เห็นได้ในเบื้องต้นว่าโจทก์ทั้งสองประสงค์จะแบ่งปันกำไรอันจะพึงได้แต่การรับซื้อฝาก ต่อมาระหว่างที่ยังอยู่ในระยะเวลาขายฝาก การที่โจทก์ทั้งสองแบ่งแยกที่ดินที่รับซื้อฝากไว้ก็เป็นพฤติกรรมที่ส่อว่าเป็นการดำเนินการให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของห้างหุ้นส่วนที่จะหากำไร เมื่อคดีไม่ได้ความจากการนำสืบของโจทก์ทั้งสองเป็นอย่างอื่น ทั้งได้ความตามเอกสารหมาย ล.1, ล.2 และ ล.4ว่า เมื่อที่ดินหลุดเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ทั้งสองในช่วงระยะเวลา5 เดือน โจทก์ทั้งสองก็ได้ขายต่อให้คนอื่นไป ก็แสดงให้เห็นว่าการที่โจทก์ทั้งสองตกลงร่วมกันรับซื้อฝากที่ดินที่เป็นปัญหานี้ไว้ก็โดยมุ่งในทางการค้าหรือหากำไร เงินได้จากการขายที่ดินชนิดนี้หาได้รับยกเว้นไม่ต้องนำมาคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ตามที่มาตรา 42(9) บัญญัติไว้ในขณะขายทรัพย์ไม่ เพราะกรณีนั้นจะต้องเป็นเรื่องที่ทรัพย์สินที่ขาย ได้มาโดยมิได้มุ่งในทางการค้าหรือหากำไร เมื่อเป็นการขายที่ดินในทางการค้าหรือหากำไร โจทก์ทั้งสองก็เป็นผู้ประกอบการค้าอสังหาริมทรัพย์ เข้าลักษณะตามที่กำหนดไว้ในบัญชีอัตราภาษีการค้าประเภทการค้าที่ 11 ต้องชำระภาษีการค้าศาลอุทธรณ์พิพากษาคดีชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ทั้งสองฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ให้โจทก์ทั้งสองชำระค่าทนายความชั้นฎีกา 1,000 บาทแทนจำเลยทั้งห้าด้วย”