คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2486/2552

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ตามสัญญาจ้างระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 และที่ 2 มีข้อตกลงว่า หากมีเหตุชำรุดบกพร่องหรือเสียหายเกิดขึ้นภายใน 2 ปี นับถัดจากวันที่ได้รับมอบงาน ซึ่งความชำรุดบกพร่องหรือเสียหายนั้นเกิดจากความบกพร่องของผู้รับจ้าง อันเกิดจากการใช้วัสดุที่ไม่ถูกต้องหรือทำไว้ไม่เรียบร้อย หรือทำไม่ถูกต้องตามมาตรฐานแห่งหลักวิชาผู้รับจ้างจะต้องรีบทำการแก้ไขให้เป็นที่เรียบร้อยโดยไม่ชักช้า หากผู้รับจ้างไม่กระทำหรือไม่ทำการแก้ไขให้ถูกต้องเรียบร้อยภายในเวลาที่ผู้ว่าจ้างกำหนด ให้ผู้ว่าจ้างมีสิทธิที่จะทำการนั้นและหรือจ้างผู้อื่นให้ทำงานนั้นโดยผู้รับจ้างต้องเป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย เมื่อโจทก์พบความชำรุดบกพร่องและมีหนังสือแจ้งให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ซ่อมภายใน 2 ปี นับถัดจากวันที่โจทก์รับมอบงานแล้ว แต่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่ทำการซ่อมให้เรียบร้อยตามสัญญาถือว่าเป็นการผิดสัญญา โจทก์ย่อมฟ้องให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 รับผิดตามสัญญาจ้าง ซึ่งไม่มีกฎหมายบัญญัติเรื่องอายุความไว้โดยเฉพาะจึงต้องใช้อายุความทั่วไปคือ 10 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/30 มิใช่เป็นการฟ้องเรียกค่าเสียหายเพื่อการที่ทำชำรุดบกพร่องอันมีอายุความ 1 ปี ตามมาตรา 601

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นกรมในรัฐบาล สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลมีจำเลยที่ 2 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2539 โจทก์ทำสัญญาจ้างจำเลยที่ 1 และที่ 2 ปรับปรุงคันดินกั้นน้ำยาว 5,160 เมตร ณ วิทยาลัยเกษตรกรรมสิงห์บุรี (ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็น วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีสิงห์บุรี) ค่าจ้างเป็นเงิน 8,918,380 บาท กำหนดเริ่มทำงานในวันที่ 28 สิงหาคม 2539 และต้องทำงานให้สำเร็จบริบูรณ์ในวันที่ 23 สิงหาคม 2540 หากมีความชำรุดบกพร่องหรือเสียหายอันเกิดจากการใช้วัสดุไม่ถูกต้อง จำเลยที่ 1 และที่ 2 จะต้องแก้ไขให้เรียบร้อยภายในเวลาที่โจทก์กำหนด จำเลยที่ 3 เป็นผู้ค้ำประกันการปฏิบัติตามสัญญาของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ต่อโจทก์ในวงเงิน 446,000 บาท จำเลยที่ 1 และที่ 2 ก่อสร้างเสร็จและส่งมอบงานในวันที่ 8 กันยายน 2540 ต่อมาวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2541 โจทก์พบว่าแนวคันดินกั้นน้ำที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ก่อสร้างแตกเป็นร่องลึก ซึ่งเกิดขึ้นภายใน 2 ปี นับแต่วันรับมอบงานครั้งสุดท้าย เนื่องจากจำเลยที่ 1 และที่ 2 ดำเนินการก่อสร้างไม่ถูกต้องตามหลักวิชาการหรือทำงานไม่เรียบร้อย โจทก์ประมาณค่าใช้จ่ายในการซ่อมเป็นเงิน 470,968 บาท และมีหนังสือแจ้งให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ซ่อมแล้วแต่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่ยอมซ่อม โจทก์จึงมีหนังสือแจ้งให้จำเลยที่ 3 ชำระเงินตามสัญญาค้ำประกัน แต่จำเลยที่ 3 ไม่ชำระ ต่อมาวันที่ 27 พฤศจิกายน 2541 จำเลยที่ 1 และที่ 2 ซ่อมคันดินที่ชำรุดบางส่วนคิดเป็นเงิน 379,204 บาท คงเหลือความชำรุดบกพร่องที่ยังไม่ได้ซ่อมเป็นเงิน 91,891 บาท โจทก์แจ้งให้จำเลยทั้งสามชำระเงินจำนวนดังกล่าวแล้ว แต่จำเลยทั้งสามไม่ชำระ โจทก์คิดดอกเบี้ยจากจำเลยทั้งสามในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงิน 91,891 บาท นับแต่วันที่ 27 พฤศจิกายน 2541 ถึงวันฟ้องเป็นเงิน 20,733.20 บาท รวมต้นเงินและดอกเบี้ยเป็นเงิน 11,624.20 บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงิน 112,624.20 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงิน 91,891 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การว่า จำเลยที่ 1 ก่อสร้างแนวคันดินกั้นน้ำตามหลักวิชาการด้วยวัสดุที่ระบุในสัญญา เมื่องานก่อสร้างแล้วเสร็จและโจทก์ตรวจรับมอบงานแล้ว หลังจากที่โจทก์พบว่างานก่อสร้างชำรุดบกพร่อง จำเลยที่ 1 ได้ซ่อมเสร็จเรียบร้อยแล้ว โจทก์ประมาณค่าซ่อมสูงเกินความจริง ความเสียหายที่ต้องซ่อมไม่เกิน 10,000 บาท โจทก์ใช้สิทธิเรียกร้องเกิน 2 ปี นับแต่วันที่ 27 พฤศจิกายน 2541 ฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 3 ให้การว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 ก่อสร้างคันดินกั้นน้ำตามแบบแปลนและใช้วัสดุก่อสร้างตามแบบที่โจทก์กำหนด คันดินกั้นน้ำไม่ได้ชำรุดเสียหาย ความเสียหายเกิดภายหลัง 2 ปี นับแต่วันส่งมอบงานก่อสร้าง ซึ่งพ้นระยะเวลาที่จำเลยที่ 3 จะต้องรับผิดตามสัญญาค้ำประกัน ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงที่โจทก์และจำเลยทั้งสามมิได้โต้เถียงกันในชั้นฎีกาฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2539 โจทก์ทำสัญญาจ้างจำเลยที่ 1 และที่ 2 ปรับปรุงคันดินกั้นน้ำยาว 5,160 เมตร เป็นเงิน 8,918,380 บาท ณ วิทยาลัยเกษตรกรรมสิงห์บุรี ตำบลม่วงหมู่ อำเภอเมืองสิงห์บุรี จังหวัดสิงห์บุรี ให้เสร็จภายในวันที่ 23 สิงหาคม 2540 โดยมีข้อตกลงว่า หากมีความชำรุดบกพร่องหรือเสียหายเกิดขึ้นภายใน 2 ปี นับแต่วันที่ได้รับมอบงานดังกล่าว ซึ่งความชำรุดหรือเสียหายนั้นเกิดจากความบกพร่องของผู้รับจ้าง อันเกิดจากการใช้วัสดุไม่ถูกต้องหรือทำไว้ไม่เรียบร้อย หรือทำไม่ถูกต้องตามมาตรฐานแห่งหลักวิชา ผู้รับจ้างต้องรีบทำการแก้ไขให้เป็นที่เรียบร้อยโดยไม่ชักช้า หากผู้รับจ้างไม่กระทำการดังกล่าวภายในเวลาที่โจทก์กำหนด ให้โจทก์มีสิทธิที่จะทำการแก้ไขเองหรือจ้างผู้อื่นให้ทำการนั้น โดยผู้รับจ้างต้องรับผิดชอบและเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายตามสัญญาจ้างเอกสารหมาย จ.3 จำเลยที่ 3 เป็นผู้ค้ำประกันการปฏิบัติตามสัญญาของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ต่อโจทก์ในวงเงิน 446,000 บาท ตามหนังสือค้ำประกันเอกสารหมาย จ.4 จำเลยที่ 1 และที่ 2 ก่อสร้างเสร็จและส่งมอบงานให้แก่โจทก์ เมื่อวันที่ 8 กันยายน 2540 ตามใบตรวจการจ้างและรับรองผลการปฏิบัติงานของผู้รับจ้างเอกสารหมาย จ.5 ต่อมาวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2541 โจทก์ตรวจพบว่าคันดินกั้นน้ำแตกเป็นร่องลึกตลอดแนว ท่อระบายน้ำเกิดการทรุดตัว ตามภาพถ่ายหมาย จ.6 โจทก์ประมาณการค่าซ่อมเป็นเงิน 470,968 บาท และมีหนังสือแจ้งให้จำเลยที่ 1 ดำเนินการซ่อมและแก้ไขจำนวน 3 ฉบับ ตามสำเนาหนังสือแจ้งเอกสารหมาย จ.7 ถึง จ.9 ต่อมาวันที่ 27 พฤศจิกายน 2541 จำเลยที่ 1 ทำการซ่อมคันดินกั้นน้ำที่ชำรุดเสียหาย ตามหนังสือเรื่องดำเนินการซ่อมคันดินกั้นน้ำเอกสารหมาย จ.13 โจทก์ตรวจสอบและประเมินการก่อสร้างส่วนที่จำเลยที่ 1 ซ่อมเป็นเงิน 379,204 บาท คงเหลือส่วนที่ยังไม่ได้ซ่อมเป็นเงิน 91,891 บาท ตามหนังสือเรื่องขอส่งรายการประมาณราคาเอกสารหมาย จ.14
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ข้อแรกมีว่า คดีของโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ โดยโจทก์ฎีกาว่า โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยที่ 1 และที่ 2 รับผิดชดใช้ค่าเสียหายตามสัญญาว่าจ้างตามเอกสารหมาย จ.3 ข้อ 6 ซึ่งกำหนดให้ผู้รับจ้างรับผิดในความชำรุดบกพร่องมีกำหนดเวลา 2 ปี เป็นกรณีที่ไม่มีกฎหมายบัญญัติอายุความไว้โดยเฉพาะ จึงมีอายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/30 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยว่า ฟ้องโจทก์มีอายุความ 1 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 601 จึงไม่ชอบนั้น เห็นว่า ตามสัญญาจ้างเอกสารหมาย จ.3 ข้อ 6 โจทก์กับจำเลยที่ 1 และที่ 2 มีข้อตกลงเรื่องความชำรุดบกพร่องของงานจ้างว่า หากมีเหตุชำรุดบกพร่องหรือเสียหายเกิดขึ้นจากงานจ้างนี้ภายในกำหนด 2 ปี นับถัดจากวันที่ได้รับมอบงานดังกล่าว ซึ่งความชำรุดบกพร่องหรือเสียหายนั้นเกิดจากความบกพร่องของผู้รับจ้าง อันเกิดจากการใช้วัสดุที่ไม่ถูกต้องหรือทำไว้ไม่เรียบร้อย หรือทำไม่ถูกต้องตามมาตรฐานแห่งหลักวิชา ผู้รับจ้างจะต้องรับทำการแก้ไขให้เป็นที่เรียบร้อยโดยไม่ชักช้า หากผู้รับจ้างบิดพลิ้วไม่กระทำการดังกล่าวหรือไม่ทำการแก้ไขให้ถูกต้องเรียบร้อยภายในเวลาที่ผู้ว่าจ้างกำหนดให้ผู้ว่าจ้างมีสิทธิที่จะทำการนั้นและหรือจ้างผู้อื่นให้ทำงานนั้นโดยผู้รับจ้างต้องเป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย เมื่อโจทก์พบความชำรุดบกพร่อง และโจทก์มีหนังสือแจ้งให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ซ่อมภายในกำหนด 2 ปี นับถัดจากวันที่โจทก์รับมอบงานแล้ว แต่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่ทำการซ่อมให้เรียบร้อยตามสัญญาย่อมถือว่าเป็นการผิดสัญญาโจทก์ย่อมฟ้องให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 รับผิดตามสัญญาจ้างธรรมดาซึ่งไม่มีกฎหมายบัญญัติเรื่องอายุความไว้โดยเฉพาะจึงต้องใช้อายุความทั่วไปคือ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/30 หาใช่เป็นการฟ้องเรียกค่าเสียหายเพื่อการที่ทำชำรุดบกพร่องอันมีอายุความ 1 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 601 ไม่ ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังขึ้น
ปัญหาต้องวินิจฉัยต่อไปมีว่า จำเลยทั้งสามต้องร่วมกันชำระค่าเสียหายแก่โจทก์หรือไม่ เพียงใด โจทก์ยกปัญหาข้อนี้ขึ้นว่ากล่าวในชั้นอุทธรณ์ แต่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 มิได้วินิจฉัยให้ เมื่อโจทก์ฎีกาในปัญหาข้อนี้ต่อมา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้ และพยานหลักฐานในสำนวนเพียงพอแก่การวินิจฉัยแล้ว ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยปัญหาข้อนี้ไปเสียทีเดียว โดยไม่จำต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยใหม่ เห็นว่า โจทก์นำสืบถึงความเสียหายของแนวคันดินกั้นน้ำส่วนที่จำเลยที่ 1 ยังไม่ได้ซ่อมว่ามีค่าจ้างแรงงานที่ต้องบดอัดคันดินกั้นน้ำกว้าง 4 เมตร ยาว 4,910 เมตร ราคาเมตรละ 9 บาท เป็นเงิน 44,190 บาท ค่าแรงงานซ่อมแนวคันดินกั้นน้ำที่จำเลยที่ 1 ยังไม่ได้ซ่อมยาว 250 เมตร ราคาเมตรละ 65 บาท เป็นเงิน 16,250 บาท และราคาดินที่ต้องนำไปเสริมแนวท่อระบายน้ำด้านทิศเหนือจำนวน 100 ลูกบาศก์เมตร ราคาลูกบาศก์เมตรละ 50 บาท เป็นเงิน 5,000 บาท รวมค่าแรงงาน ค่าวัสดุและเครื่องจักรกลเป็นเงินทั้งสิ้น 91,891 บาท ตามหนังสือเรื่องขอส่งรายการประมาณราคาเอกสารหมาย จ.14 โดยมีนายสมหมาย นายเชาวลิต และนายชูศักดิ์เป็นพยาน โดยนายเชาวลิตเบิกความว่า พยานร่วมกับนายสมหมายตรวจแนวคันดินกั้นน้ำพบรอยแตกร้าวที่คันดินกั้นน้ำตามแนวพื้นเอียงของคันดินกั้นน้ำเกิดการไหลทรุดตัว และแนวท่อระบายน้ำมีการทรุดตัวด้วย นายสมบูรณ์ถ่ายรูปแนวคันดินกั้นน้ำไว้ตามภาพถ่ายหมาย จ.6 พยานทำหนังสือแจ้งให้จำเลยที่ 1 ทำการซ่อมตามสำเนาหนังสือแจ้งเอกสารหมาย จ.7 ถึง จ.9 ต่อมาวันที่ 27 พฤศจิกายน 2541 จำเลยที่ 1 มีหนังสือขอเข้าดำเนินการซ่อมตามหนังสือเรื่องดำเนินการซ่อมคันดินกั้นน้ำเอกสารหมาย จ.13 พยานสั่งการให้นายสมหมายควบคุมการซ่อมให้เป็นไปอย่างถูกต้อง จำเลยที่ 1 ดำเนินการซ่อมแต่ไม่ครบถ้วนยังเหลือแนวคันดินกั้นน้ำที่ยังไม่ได้ซ่อมอีก 250 เมตร และการซ่อมของจำเลยที่ 1 ไม่เป็นไปตามหลักการก่อสร้าง เนื่องจากจำเลยที่ 1 ไม่ได้บดอัดแนวคันดินกั้นน้ำและไม่ได้นำดินเข้ามาถมใหม่ เพียงแต่ตักดินที่ไหลทรุดตัวลงไปขึ้นถมตามแนวคันดินกั้นน้ำเดิมเท่านั้น ซึ่งศูนย์ฝึกอบรมวิศวกรรมเกษตรบางพูนได้ประมาณราคาส่วนที่จำเลยที่ 1 ยังไม่ได้ซ่อมเป็นเงิน 91,891 บาท นายสมหมายเบิกความว่า จำเลยที่ 1 ขอเข้าทำการซ่อมในวันที่ 27 พฤศจิกายน 2541 ตามหนังสือเรื่องดำเนินการซ่อมคันดินกั้นน้ำเอกสารหมาย จ.13 แล้วได้นำรถแบ็กโฮเข้าไปตักดินที่ทรุดตัวและที่แตกร้าว โดยไม่มีการบดอัดและยังเหลือคันดินกั้นน้ำที่ยังไม่ได้ซ่อมประมาณ 250 เมตร ซึ่งศูนย์ฝึกอบรมวิศกรรมเกษตรบางพูนประมาณค่าเสียหายเป็นเงิน 91,891 บาท และนายชูศักดิ์เบิกความว่า พยานตรวจสอบความเสียหายของคันดินกั้นน้ำส่วนที่จำเลยที่ 1 ยังไม่ได้ซ่อมพบว่าท่อคอนกรีตเสริมเหล็กด้านทิศเหนือของคันดินกั้นน้ำถูกน้ำกัดเซาะพังทลาย และแนวคันดินกั้นน้ำประมาณ 250 เมตร มีสภาพแตกร้าวถูกกัดเซาะเป็นเช่นเดิม กับในส่วนของคันดินกั้นน้ำด้านบนยังไม่ได้มีการบดอัด โดยประมาณราคาซ่อมเป็นเงิน 91,891 บาท ตามหนังสือเรื่องขอส่งรายการประมาณราคาเอกสารหมาย จ.14 ส่วนจำเลยที่ 1 และที่ 2 มีตัวจำเลยที่ 2 เป็นพยานเบิกความว่า เมื่อปี 2541 วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีสิงห์บุรีมีหนังสือแจ้งว่า คันดินกั้นน้ำแตกร้าวเนื่องจากน้ำฝนกัดเซาะ จำเลยที่ 1 มีหนังสือขอเข้าดำเนินการซ่อมส่วนที่ชำรุดเสียหายตามหนังสือเรื่องดำเนินการซ่อมคันดินกั้นน้ำเอกสารหมาย จ.13 โดยนำเครื่องจักรกลเข้าไปซ่อมเริ่มจากแนวคันดินกั้นน้ำด้านซ้ายเรื่อยไปจนถึงแนวคันดินกั้นน้ำด้านขวา ใช้เวลาประมาณ 7 วัน ก็เสร็จเรียบร้อย ขณะนั้นไม่มีเจ้าหน้าที่หรือตัวแทนของวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีสิงห์บุรีแจ้งให้จำเลยที่ 1 ซ่อมในส่วนอื่นอีก เห็นว่า นายสมหมายได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้ควบคุมงานการปรับปรุงคันดินกั้นน้ำและเป็นกรรมการตรวจการจ้าง นายเชาวลิตเป็นผู้รับผิดชอบเรื่องอาคารสถานที่รวมถึงงานปรับปรุงคันดินกั้นน้ำและได้ร่วมตรวจสอบความเสียหายของคันดินกั้นน้ำกับนายสมหมาย ส่วนนายชูศักดิ์เป็นผู้ออกแบบงานคันดินกั้นน้ำ สำรวจความเสียหายและประมาณราคาซ่อม เป็นบุคคลที่รู้เห็นเกี่ยวกับเรื่องความเสียหายของแนวคันดินกั้นน้ำและการซ่อมแนวคันดินกั้นน้ำของจำเลยที่ 1 โดยตรง ทั้งพยานทั้งสามเบิกความถึงข้อเท็จจริงที่ตนได้ปฏิบัติไปตามหน้าที่ โดยไม่มีข้อระแวงว่าจะให้ร้ายแก่จำเลยทั้งสามโดยปราศจากมูลความจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งโจทก์มีภาพถ่ายแนวคันดินกั้นน้ำที่มีรอยแตกเป็นร่อง และภาพถ่ายด้านข้างของแนวคันดินกั้นน้ำที่เกิดการเลื่อนตัวลงด้านล่าง กับภาพถ่ายท่อระบายน้ำที่เกิดการทรุดตัวและแตกออกจากกันเป็นพยานหลักฐานสนับสนุน ทำให้คำเบิกความของพยานโจทก์ทั้งสามมีน้ำหนักน่าเชื่อถือ พยานหลักฐานของจำเลยทั้งสามคงมีแต่คำเบิกความลอยๆ ของจำเลยที่ 2 ว่า จำเลยที่ 1 ได้ทำการซ่อมแนวคันดินกั้นน้ำเรียบร้อยแล้วโดยไม่มีพยานหลักฐานอื่นสนับสนุน ทั้งตามคำเบิกความของจำเลยที่ 2 ก็ไม่ปรากฏว่าในการซ่อมแนวคันดินกั้นน้ำของจำเลยที่ 1 นั้น จำเลยที่ 1 ได้ทำการบดอัดคันดินกั้นน้ำแต่อย่างใด อันเป็นการเจือสมกับทางนำสืบของโจทก์ว่าการซ่อมแซมของจำเลยที่ 1 ไม่เป็นไปตามหลักการก่อสร้างเนื่องจากจำเลยที่ 1 ไม่ได้บดอัดคันดินกั้นน้ำแต่อย่างใด พยานหลักฐานของโจทก์ซึ่งมีทั้งพยานบุคคล พยานเอกสารและภาพถ่ายความเสียหายของแนวคันดินกั้นน้ำประกอบกัน จึงมีน้ำหนักรับฟังยิ่งกว่าพยานหลักฐานของจำเลยทั้งสาม ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 ยังมิได้ดำเนินการบดอัดคันดินกั้นน้ำเป็นระยะทาง 4,910 เมตร และยังมิได้ซ่อมแนวคันดินกั้นน้ำเป็นระยะทาง 250 เมตร กับยังมิได้ซ่อมแนวท่อระบายน้ำด้านทิศเหนือจริงดังที่โจทก์ฟ้อง ปัญหาว่าจำเลยทั้งสามต้องรับผิดต่อโจทก์เพียงใดนั้น เห็นว่า โจทก์มีนายชูศักดิ์เป็นพยานเบิกความว่า พยานได้สำรวจและประมาณราคาค่าแรงงานและวัสดุที่ต้องใช้ในการซ่อมแนวคันดินกั้นน้ำไว้ตามหนังสือเรื่องขอส่งรายการประมาณราคาเอกสารหมาย จ.14 ซึ่งระบุว่า โจทก์ต้องบดอัดคันดินกั้นน้ำกว้าง 4 เมตร ยาว 4,910 เมตร ต้องเสียค่าแรงงานส่วนนี้ในราคาเมตรละ 9 บาท เป็นเงิน 44,190 บาท และต้องซ่อมคันดินกั้นน้ำที่จำเลยที่ 1 ยังมิได้ซ่อม ยาว 250 เมตร ต้องเสียค่าแรงงานเมตรละ 65 บาท เป็นเงิน 16,250 บาท กับต้องใช้ดินเสริมแนวท่อระบายน้ำด้านทิศเหนือจำนวน 100 ลูกบาศ์กเมตร ราคาลูกบาศก์เมตรละ 50 บาท เป็นเงิน 5,000 บาท รวมค่าวัสดุและเครื่องจักรกลเป็นเงินทั้งสิ้น 91,891 บาท ซึ่งจำเลยทั้งสามมิได้นำสืบหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ในข้อนี้เลย ประกอบกับการซ่อมแนวคันดินกั้นน้ำให้มีสภาพเรียบร้อยใช้การได้ดีจะต้องการบดอัดดินซึ่งจะต้องใช้วัสดุแรงงาน และเครื่องจักรกล เมื่อพิจารณาถึงราคาค่าแรงงานและค่าวัสดุที่โจทก์ประมาณราคาไว้เห็นว่าไม่สูงเกินสมควร จำเลยที่ 1 และที่ 2 จึงต้องร่วมกันชำระค่าเสียหายแก่โจทก์ตามที่ฟ้อง เมื่อจำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่ชำระค่าเสียหายแก่โจทก์ จำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันการปฏิบัติตามสัญญาของจำเลยที่ 1 จึงต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ด้วย ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องโจทก์นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย”
พิพากษากลับ ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงิน 91,891 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 27 พฤศจิกายน 2541 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ดอกเบี้ยถึงวันฟ้องต้องไม่เกิน 20,733.20 บาท ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความรวม 5,000 บาท

Share