แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
หนี้ที่โจทก์ฟ้องเกิดจากการที่จำเลยซื้อข้าวโพดและโจทก์ได้มอบข้าวโพดให้จำเลยไปแล้ว กรณีเช่นนี้ไม่มีกฎหมายบังคับว่าต้องมีหนังสือมาแสดง โจทก์จึงนำพยานบุคคลมาสืบเพิ่มเติมได้ไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94
โจทก์เป็นผู้ประกอบกสิกรรมเรียกร้องเอาค่าข้าวโพดอันเป็น ผลิตผลแห่งกสิกรรมจึงมีอายุความ 5 ปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 165 วรรคท้าย (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 807-808/2510)
จำเลยชำระค่าเช่าซื้องวดรถแทรกเตอร์แทนโจทก์โดยในขณะนั้นหนี้ค่าข้าวโพดของโจทก์ที่มีต่อจำเลยยังไม่ขาดอายุความ ถ้าโจทก์จะนำหนี้ค่าข้าวโพดมาหักกลบลบกับหนี้ค่าเช่าซื้องวดรถแทรกเตอร์ซึ่งจำเลยมีต่อโจทก์ย่อมทำได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 344 และเมื่อโจทก์ขอหักกลบลบหนี้ ก็ต้องหักกลบลบหนี้กับหนี้ค่าข้าวโพดที่เก่าที่สุด ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 348
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์นำข้าวโพดส่งขายจำเลยซึ่งเป็นพ่อค้ารับซื้อพืชผล โจทก์ขอเบิกเงินหรือเครื่องอุปโภคบริโภคไปจากจำเลยก่อน เมื่อหักกับเงินและค่าสิ่งของที่โจทก์เอาไปจากจำเลยแล้วรวม 2 ครั้ง จำเลยจะต้องชำระให้โจทก์ 36,256.50 บาท หลังจากคิดบัญชีครั้งหลังแล้วโจทก์ไม่ได้ส่งข้าวโพดขายให้จำเลยอีก แต่จำเลยได้จ่ายทดลองค่าเช่าซื้อรถแทรกเตอร์แทนโจทก์ไปครั้งหนึ่ง 6,000 บาท เมื่อหักจากเงินที่จำเลยค้างชำระดังกล่าวแล้ว จำเลยยังคงค้างชำระโจทก์อยู่ 30,256.50 บาท จำเลยไม่ชำระจำเลยจึงต้องเสียดอกเบี้ยให้โจทก์ในอัตราร้อยละ 7 ครึ่งต่อปี นับแต่วันคิดบัญชีครั้งหลังเป็นดอกเบี้ย 10,971.78 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 41,228.28 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7 ครึ่งต่อปี ในต้นเงิน 30,256.50 บาท นับแต่วันฟ้อง
จำเลยให้การว่า เมื่อประมาณต้นปี พ.ศ. 2507 โจทก์ต้องการซื้อรถแทรกเตอร์สำหรับทำไร่ 1 คัน จากบริษัทยนตรภัณฑ์ จำกัด จำเลยได้ออกเงินมัดจำแทนโจทก์ไป ในการผ่อนค่าเช่าซื้อ โจทก์ไม่ชำระให้ ขอร้องให้จำเลยชำระแทน ต่อมาเมื่อวันที่ 18 มกราคม 2509 โจทก์เช่าซื้อรถแทรกเตอร์อีก 1 คันราคา 92,600 บาทจากบริษัทยนตรภัณฑ์จำกัดขอร้องให้จำเลยออกเงินมัดจำค่าเช่าซื้อให้อีก โจทก์ออกเงินไปให้ 35,000 บาท และชำระเงินค่างวดแทนโจทก์ไปอีกรวมกับเงินที่จำเลยออกให้โจทก์ในการเช่าซื้อรถแทรกเตอร์คันแรกเป็นเงินทั้งสิ้น 91,000 บาท โจทก์ยังไม่ได้ชำระ จำเลยเห็นว่าโจทก์เป็นลูกหนี้จำนวนมากไม่มีหลักประกัน โจทก์ตกลงและโอนกรรมสิทธิ์รถแทรกเตอร์ให้จำเลยแล้ว ต่อมาโจทก์ไม่ปฏิบัติตามข้อตกลง โดยไม่นำข้าวโพดมาขายให้จำเลยเพื่อหักหนี้ จำเลยจึงไปยึดรถแทรกเตอร์คันนั้นคืนมา คดีของโจทก์ขาดอายุความ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้จำเลยชำระเงินให้โจทก์ 7,130.50 บาท กับดอกเบี้ยร้อยละ 7 ครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าชำระเสร็จ
โจทก์และจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า หนี้ที่โจทก์ฟ้องเกิดจากการที่จำเลยซื้อข้าวโพดของโจทก์และโจทก์ได้มอบข้าวโพดให้จำเลยไปแล้ว กรณีเช่นนี้ไม่มีกฎหมายบังคับว่าต้องมีหนังสือมาแสดง โจทก์จึงนำพยานบุคคลมาสืบเพิ่มเติมได้ ไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 94 รับฟังการนำสืบเพิ่มเติมของโจทก์ได้
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยเป็นหนี้โจทก์ 12,126 บาทตามเอกสารหมาย จ.3 และเป็นหนี้โจทก์ 13,130.50 บาท ตามเอกสารหมาย จ.4 โดยเอาเงิน 6,000 บาท ที่จำเลยชำระค่าเช่าซื้องวดรถแทรกเตอร์แทนโจทก์หักออก
ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์เป็นผู้ประกอบกสิกรรม เรียกร้องเอาค่าข้าวโพดอันเป็นผลิตผลแห่งกสิกรรม จึงมีอายุความ 5 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 165 วรรคท้าย ตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 807-808/2510 โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2514หนี้ค่าข้าวโพด 12,126 บาท ตามเอกสารหมาย จ.3 จึงขาดอายุความการที่โจทก์จำเลยคิดบัญชีกันเมื่อวันที่ 8 เมษายน 2509 สำหรับหนี้รายอื่น ไม่ทำให้อายุความสำหรับหนี้รายนี้สะดุดหยุดลง ที่โจทก์ให้หักเงิน6,000 บาท ของจำเลยจากหนี้ตามเอกสารหมาย จ.3 นั้น ศาลฎีกาเห็นว่า เงิน 6,000 บาทที่จำเลยชำระค่าเช่าซื้องวดรถแทรกเตอร์แทนโจทก์นั้น จำเลยจ่ายไปตามเอกสารหมาย ล.10 ลงวันที่ 29 มิถุนายน 2509 ขณะนั้นหนี้ค่าข้าวโพดของโจทก์ที่มีต่อจำเลยตามเอกสารหมาย จ.3 ยังไม่ขาดอายุความ ถ้าโจทก์จะนำหนี้รายนี้มาหักกลบลบหนี้กับหนี้ 6,000 บาทซึ่งจำเลยมีต่อโจทก์ ย่อมทำได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 344 และเนื่องด้วยหนี้ค่าข้าวโพดตามเอกสาร หมาย จ.3 เป็นหนี้รายเก่าที่สุด เมื่อโจทก์ขอหักกลบลบหนี้ ก็ต้องหักกลบลบหนี้รายนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 348ดังนั้น หนี้ค่าข้าวโพดตามเอกสารหมาย จ.4 จำนวน 13,130.50 บาท จึงเหลืออยู่ตามเดิมซึ่งจำเลยต้องชำระให้โจทก์
ศาลฎีกาฟังว่า โจทก์ได้ทวงถามและได้ให้ทนายความมีหนังสือทวงถามจำเลยครั้งสุดท้ายเมื่อต้นเดือนมิถุนายน 2512 ให้จำเลยชำระหนี้ภายใน 30 วัน โจทก์ฎีกาขอให้คิดดอกเบี้ยตั้งแต่วันที่ 31 กรกฎาคม 2512 ซึ่งถือว่าเป็นการผิดนัด เป็นการสมควรแล้ว
พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่า ให้จำเลยชำระเงิน13,130.50 บาท ให้โจทก์ พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7 ครึ่งต่อปี นับตั้งแต่วันที่ 31 กรกฎาคม 2512 เป็นต้นไป จนกว่าชำระเงินเสร็จ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์