แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ประเด็นข้อพิพาทที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้เดิมคือ โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ห้องแถวพิพาทหรือไม่ และโจทก์เสียหายเพียงใด ส่วนประเด็นข้อพิพาทที่ศาลชั้นต้นกำหนดขึ้นใหม่นั้นเพียงเพิ่มประเด็นข้อพิพาทอีกข้อหนึ่งว่า โจทก์นำห้องแถวพิพาทมาหักกลบลบหนี้ที่บุตรโจทก์เป็นหนี้จำเลยหรือไม่เท่านั้นซึ่งมีความหมายรวมอยู่ในประเด็นข้อพิพาทเดิมที่ตั้งไว้ในข้อที่ว่าโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในห้องแถวพิพาทหรือไม่อยู่แล้ว กล่าวคือ หากข้อเท็จจริงฟังได้ตามที่จำเลยให้การต่อสู้ว่า โจทก์นำห้องแถวเดิมมาหักกลบลบหนี้ที่บุตรโจทก์เป็นหนี้จำเลย แล้วจำเลยรื้อถอนห้องแถวดังกล่าวและปลูกขึ้นใหม่เป็นห้องแถวพิพาทเช่นนี้ ห้องแถวพิพาทจึงเป็นของจำเลยโจทก์ย่อมไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์ห้องแถวพิพาทนั่นเอง ดังนั้นที่ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทเพิ่มเติมดังกล่าวจึงไม่ทำให้การดำเนินกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของห้องแถวเลขที่ 8 ต่อมาเปลี่ยนเป็นเลขที่ 270 โจทก์ให้จำเลยอยู่อาศัยในห้องแถวดังกล่าว ต่อมาโจทก์ต้องการห้องแถวคืนเพื่อทำการค้าและบอกกล่าวให้จำเลยออกไป แต่จำเลยเพิกเฉย ทำให้โจทก์เสียหายไม่สามารถนำห้องแถวออกให้เช่าหรือใช้ประโยชน์คิดเป็นเงินไม่ต่ำกว่าเดือนละ 3,000 บาท ขอให้บังคับจำเลยและบริวารออกไปจากห้องแถวเลขที่ 270 ของโจทก์ กับใช้ค่าเสียหายเดือนละ 3,000 บาท นับแต่วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2537 เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยและบริวารจะออกไป
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่ใช่เจ้าของห้องแถวเลขที่ 270หากเป็นเจ้าของโจทก์ก็นำห้องแถวดังกล่าวหักกลบลบหนี้ที่บุตรโจทก์เป็นหนี้จำเลยแล้ว ปัจจุบันจำเลยได้รื้อห้องแถวนั้นและปลูกสร้างขึ้นใหม่เป็นห้องแถวพิพาท โจทก์จะอ้างว่าเป็นเจ้าของห้องแถวพิพาทอีกไม่ได้ จำเลยจึงเป็นเจ้าของห้องแถวพิพาทและไม่เป็นการละเมิดโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์ได้ยกฟ้องแถวเดิมตีใช้หนี้แทนนางวิจิตราบุตรโจทก์ที่เป็นหนี้ค่านายหน้าแก่จำเลยและจำเลยได้รื้อถอนห้องแถวเดิมแล้วปลูกห้องแถวพิพาทขึ้นใหม่จำเลยจึงเป็นเจ้าของห้องแถวพิพาทโดยชอบ หาใช่เป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ไม่
ส่วนข้อที่โจทก์ฎีกาว่า ศาลชั้นต้นได้ทำการชี้สองสถานกำหนดประเด็นข้อพิพาทแล้วโดยคู่ความมิได้โต้แย้งคัดค้านศาลชั้นต้นมาทำการชี้สองสถานกำหนดประเด็นข้อพิพาทขึ้นใหม่เองโดยคู่ความมิได้ร้องขอและได้กระทำในขณะที่โจทก์นำพยานเข้าสืบจนใกล้เสร็จแล้ว จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น เห็นว่า ประเด็นข้อพิพาทที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้เดิมคือ โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ห้องแถวพิพาทหรือไม่และโจทก์เสียหายเพียงใด ส่วนประเด็นข้อพิพาทที่ศาลชั้นต้นกำหนดขึ้นใหม่นั้น เพียงเพิ่มประเด็นข้อพิพาทอีกข้อหนึ่งว่าโจทก์นำห้องแถวพิพาทมาหักกลบลบหนี้ที่บุตรโจทก์เป็นหนี้จำเลยหรือไม่เท่านั้น ซึ่งประเด็นที่ศาลชั้นต้นกำหนดเพิ่มเติมนี้ก็มีความหมายรวมอยู่ในประเด็นข้อพิพาทเดิมที่ตั้งไว้ในข้อที่ว่าโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในห้องแถวพิพาทหรือไม่อยู่แล้วกล่าวคือ หากข้อเท็จจริงฟังได้ตามที่จำเลยให้การต่อสู้ว่าโจทก์นำห้องแถวเดิมมาหักกลบลบหนี้ที่บุตรโจทก์เป็นหนี้จำเลยแล้วจำเลยรื้อถอนห้องแถวดังกล่าวและปลูกขึ้นใหม่เป็นห้องแถวพิพาทเช่นนี้ ห้องแถวพิพาทจึงเป็นของจำเลย โจทก์ย่อมไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์ห้องแถวพิพาทนั่นเอง ดังนั้นที่ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทดังกล่าวเพิ่มเติมจึงไม่ทำให้การดำเนินกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นไม่ชอบด้วยกฎหมายแต่อย่างใด
พิพากษายืน