คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 248/2536

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ในชั้นที่โจทก์ยื่นฟ้อง โจทก์ได้ส่งสำเนาใบมอบอำนาจเป็นเอกสารท้ายฟ้องฉบับหนึ่ง ก่อนลงมือสืบพยานโจทก์ขอแก้ไขคำฟ้องว่าสำเนาใบมอบอำนาจที่โจทก์ส่งท้ายฟ้องนั้นโจทก์ส่งผิดไป ขอส่งฉบับใหม่ตามเอกสารหมาย ป.จ.1 ศาลชั้นต้นอนุญาต ชั้นสืบพยานโจทก์ก็นำสืบว่าโจทก์มอบให้ ธ.ฟ้องคดีตามใบมอบอำนาจเอกสารหมาย ป.จ.1 ซึ่งจำเลยไม่ได้นำสืบหักล้างต้องฟังว่าโจทก์มอบอำนาจให้นายธ.ฟ้องคดีตามใบมอบอำนาจเอกสารหมาย ป.จ.1 มาตั้งแต่ต้นจำเลยจะอ้างเอาใบมอบอำนาจที่โจทก์ส่งผิดมาโดยโจทก์แก้ไขแล้วมาเป็นเหตุให้ฟังว่า ธ. ไม่มีอำนาจฟ้องคดีแทนโจทก์นั้นเป็นการไม่ชอบ คำอ้างเอกสารเป็นค่าธรรมเนียมอื่น ๆ เมื่อโจทก์มิได้จงใจจะไม่ชำระค่าธรรมเนียมก็ไม่มีบทกฎหมายจะให้ถือว่าโจทก์จะไม่ประสงค์อ้างเอกสารเป็นพยานตามบทบัญญัติใน ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 87(2)บัญญัติไว้แต่เพียงว่าห้ามมิให้ศาลรับฟังพยานหลักฐานที่คู่ความมิได้แสดงความจำนงที่จะอ้างอิงเท่านั้นทั้งยังยกเว้นด้วยว่า ถ้าเป็นพยานหลักฐานอันสำคัญซึ่งเกี่ยวกับประเด็นข้อสำคัญในคดีแม้จะฝ่าฝืนบทบัญญัติอนุมาตรานี้ก็ให้อำนาจศาลที่จะรับฟังพยานหลักฐานเช่นว่านั้นได้การที่ศาลรับฟังพยานเอกสารดังกล่าวโดยที่เป็นพยานหลักฐานอันสำคัญซึ่งเกี่ยวกับประเด็นข้อสำคัญในคดี จึงไม่เป็นเรื่องที่ศาลรับฟังพยานหลักฐานที่ไม่ชอบ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์มอบอำนาจให้นายธารินทร์ นิมมานเหมินท์เป็นผู้ดำเนินคดี จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลตามกฎหมายประเภทสมาคม จำเลยที่ 1 ได้เปิดบัญชีเดินสะพัดประเภทเงินฝากกระแสรายวันไว้กับโจทก์ โดยจำเลยที่ 1 ได้ขอกู้เบิกเงินเกินบัญชีจากโจทก์ในวงเงิน 1,800,000 บาท โดยยอมเสียดอกเบี้ยทบต้นในอัตราร้อยละ 13 ต่อปี ในการกู้เบิกเงินเกินบัญชีดังกล่าวจำเลยที่ 2 ถึงที่ 12 ได้เข้าเป็นผู้ค้ำประกันจำเลยที่ 1 ต่อโจทก์และยอมรับผิดในฐานะลูกหนี้ร่วมกับจำเลยที่ 1ต่อมาปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ไม่นำเงินเข้าหักทอนบัญชีเป็นเหตุให้มียอดหนี้ตามบัญชีเดินสะพัดเพิ่มมากขึ้นจนเกินวงเงินที่โจทก์ได้อนุญาตไว้ โจทก์จึงได้มีหนังสือบอกกล่าวให้จำเลยทั้งสิบสองร่วมกันชำระหนี้ตามบัญชีเดินสะพัดของจำเลยที่ 1 แต่จำเลยทั้งสิบสองเพิกเฉย จำเลยทั้งสิบสองต้องรับผิดชำระหนี้ตามบัญชีเดินสะพัดพร้อมดอกเบี้ยขอให้บังคับจำเลยที่ 1ถึงที่ 12 ชำระเงินจำนวน 2,453,523.10 บาท กับดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 13 ต่อปีในต้นเงิน 2,388,860.28 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 2 ที่ 4 ที่ 5 ที่ 6 ที่ 7 ที่ 8 ที่ 9 ที่ 10และที่ 12 ให้การทำนองเดียวกันว่า จำเลยที่ 2 ที่ 4 ถึงที่ 10และที่ 12 ได้ทำสัญญาค้ำประกันจำเลยที่ 1 ต่อโจทก์จริงแต่ได้กระทำในฐานะตัวแทนกลุ่มเกษตรกร จำเลยทั้งหมดมิได้เข้าทำสัญญาค้ำประกันในฐานะส่วนตัว จึงไม่ต้องรับผิดเป็นการส่วนตัว เพราะกลุ่มเกษตรกรต่าง ๆ มีฐานะเป็นนิติบุคคลตามกฎหมาย ในวันทำสัญญาค้ำประกัน โจทก์ให้จำเลยลงชื่อในสัญญาค้ำประกันตามแบบของธนาคารโจทก์ โดยยังไม่ได้กรอกข้อความหรือพิมพ์รายละเอียดลงไปแล้วโจทก์ไปพิมพ์กรอกข้อความเปลี่ยนเจตนาไปจากความจริง และนอกจากนั้นหนี้ที่โจทก์ฟ้องได้มีการคิดบัญชีโดยไม่ถูกต้อง ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 3 และที่ 11 ให้การว่า จำเลยที่ 3 และที่ 11ไม่เคยทำสัญญาค้ำประกันจำเลยที่ 1 ต่อโจทก์ ลายมือชื่อในสัญญาค้ำประกันดังกล่าวมิใช่ของจำเลยที่ 3 และที่ 11 ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 12 ชำระหนี้จำนวน 2,453,523.10 บาท กับดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 13 ต่อปีในต้นเงิน 2,388,860.28 บาท นับจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 2 ที่ 4 ที่ 5 ที่ 9 ที่ 11 และที่ 12 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 2 ที่ 4 ที่ 5 ที่ 9 ที่ 11 และที่ 12 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยฎีกาในข้อ 2 ว่านายธารินทร์ นิมมานเหมินท์ ไม่มีอำนาจฟ้องคดีนี้ คดีได้ความว่าในชั้นที่โจทก์ยื่นฟ้องนั้นได้ส่งสำเนาใบมอบอำนาจเป็นเอกสารท้ายฟ้องฉบับหนึ่ง ซึ่งต่อมาก่อนลงมือสืบพยานโจทก์ยื่นคำร้องขอแก้ไขคำฟ้องว่าสำเนาใบมอบอำนาจที่โจทก์ส่งท้ายฟ้องนั้นโจทก์ส่งผิดไป ขอส่งฉบับใหม่ตามเอกสารหมาย ป.จ.1 ศาลชั้นต้นสั่งอนุญาตซึ่งในชั้นที่มีการสืบพยานโจทก์ก็นำสืบว่า โจทก์มอบอำนาจให้นายธารินทร์ฟ้องคดีนี้ตามใบมอบอำนาจ เอกสารหมาย ป.จ.1ซึ่งจำเลยก็มิได้นำสืบหักล้าง ข้อเท็จจริงต้องฟังว่าโจทก์ได้มอบอำนาจให้นายธารินทร์ฟ้องคดีนี้ตามใบมอบอำนาจเอกสารหมายป.จ.1 มาตั้งแต่ต้น ซึ่งความที่ปรากฏในใบมอบอำนาจนั้นระบุให้เห็นว่า นายธารินทร์มีอำนาจฟ้องคดีแทนโจทก์ได้จำเลยจะอ้างเอาใบมอบอำนาจที่โจทก์ส่งผิดมาโดยที่โจทก์ก็ได้แก้ไขแล้วมาเป็นเหตุให้ฟังว่านายธารินทร์ไม่มีอำนาจฟ้องคดีแทนโจทก์นั้นเป็นการไม่ชอบ นายธารินทร์มีอำนาจฟ้องคดีแทนโจทก์
แล้ววินิจฉัยข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ 2 ที่ 4 ที่ 5 ที่ 9และที่ 11 ทำสัญญาค้ำประกันในฐานะส่วนตัว
จำเลยฎีกาในปัญหาสุดท้ายว่า โจทก์มิได้เสียค่าอ้างเอกสารในศาลชั้นต้นจึงรับฟังพยานเอกสารที่โจทก์อ้างไม่ได้นั้นคดีได้ความว่าที่โจทก์มิได้เสียค่าอ้างเอกสารนั้นมิใช่เรื่องที่โจทก์จงใจจะไม่ชำระค่าอ้างเอกสารตามคำสั่งศาลค่าอ้างเอกสารนั้นเป็นค่าธรรมเนียมอื่น ๆ เมื่อโจทก์มิได้จงใจจะไม่ชำระค่าธรรมเนียมเช่นนี้ ก็ไม่มีบทกฎหมายจะให้ถือว่าโจทก์จะไม่ประสงค์อ้างเอกสารเป็นพยาน ตามบทบัญญัติในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 87 นั้น บัญญัติไว้แต่เพียงว่า ห้ามมิให้ศาลรับฟังพยานหลักฐานที่คู่ความมิได้แสดงความจำนงที่จะอ้างอิงเท่านั้น และในบทบัญญัติในมาตรานี้ยังมีบัญญัติไว้เป็นการยกเว้นด้วยว่า ถ้าเป็นพยานหลักฐานอันสำคัญซึ่งเกี่ยวกับประเด็นข้อสำคัญในคดี แม้จะฝ่าฝืนบทบัญญัติในอนุมาตรานี้ก็ให้อำนาจศาลที่จะรับฟังพยานหลักฐานเช่นว่านั้นได้ดังนั้น การที่ศาลล่างทั้งสองรับฟังพยานเอกสารดังกล่าว โดยที่เป็นเอกสารซึ่งเป็นพยานหลักฐานอันสำคัญซึ่งเกี่ยวกับประเด็นข้อสำคัญในคดี จึงไม่เป็นเรื่องที่ศาลรับฟังพยานหลักฐานที่ไม่ชอบทั้งได้ความต่อมาว่าเมื่อศาลอุทธรณ์ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการให้โจทก์เสียค่าอ้างเอกสารโจทก์ก็ได้เสียค่าจ้างเอกสารครบถ้วนแล้วจึงไม่มีกรณี ที่ศาลฎีกาจะไม่รับฟังพยานเอกสารของโจทก์ที่อ้างมาอีกได้
พิพากษายืน

Share