แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์เป็นผู้ซื้อที่ดินรายพิพาทเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริตแล้ว แม้จำเลยจะได้ครอบครองที่รายนี้ติดต่อกันมาเป็นเวลานานกว่า 10 ปีก็ตาม ก็หาอาจยกอายุความครอบครองใช้ยันโจทก์ได้ไม่.
ย่อยาว
คดีได้ความว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดที่ ๔๓๐๙ โดยซื้อมาจากนางเผือก เมื่อพ.ศ.๒๔๘๔ ฝ่ายจำเลยเป็นเจ้าของโฉนดที่ ๔๓๐๘ โดยรับโอนหลุดเป็นสิทธิเนื่องจากการจำนองเมื่อประมาณ ๔ ปีมานี้ ที่ดินทั้งสองแปลงนี้อยู่ติดต่อกันในชั้นแรกโจทก์จำเลยต่างไม่ทราบว่าการปกครองรุกล้ำกันแต่เมื่อโจทก์ขอให้เจ้าพนักงานรังวัดขอบเขตต์แล้ว ปรากฎว่าจำเลยปกครองเหลื่อมล้ำเข้าไปในเขตต์ที่ดินตามโฉนดของโจทก์ โจทก์จึงฟ้องขอให้ขับไล่จำเลย
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้ว ฟังข้อเท็จจริงเป็นยุติว่า เมื่อโจทก์ซื้อที่แปลงนี้ มิได้มีการชี้เขตต์ที่กัน คงซื้อโดยเชื่อตามหน้าโฉนด หาได้เข้าใจว่า ตนได้ซื้อที่ดินมีเนื้อที่น้อยกว่าหน้าโฉนดไม่ คดีฟังได้ว่า โจทก์ได้รับซื้อไว้โดยมีค่าตอบแทนโดยสุจริต และได้จดทะเบียนสิทธิแล้ว แม้จำเลยจะได้ครอบครองมากว่า ๑๐ ปี แต่เมื่อจำเลยไม่จดทะเบียนสิทธิครอบครองของจำเลยแล้ว จะยกสิทธิของจำเลยขึ้นต่อสู้โจทก์ผู้รับโอนไม่ได้ พิพากษาที่พิพาทเป็นกรรมสิทธิของโจทก์ ให้ขับไล่จำเลย
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาคงฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์ได้รับโอนที่รายนี้มาโดยมีค่าตอบแทนและโดยสุจริต และได้จดทะเบียนสิทธิแล้ว รูปคดีเข้าลักษณะตามข้อบัญญัติในประมวลแพ่ง ฯ ม.๑๒๙๙ และมาตรานี้เป็นบทบังคับ ไม่ใช่เป็นแต่เพียงข้อสันนิษฐานว่าสิทธิของโจทก์อาจจะมีอยู่ตามทะเบียน ส่วนที่จำเลยอ้างสิทธิครอบครองตามมาตรา ๑๓๘๒ นั้น ก็ต้องอยู่ภายใต้บทบังคับแพ่งมาตรา ๑๒๙๙ นี้และบทนี้ย่อมเป็นข้อยกเว้นจากหลักทั่วไปที่ว่า ผู้รับโอนมีสิทธิดีกว่าผู้โอนนั้นด้วยน จึงพิพากษายืน