แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
สัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างจำเลยที่ 1 กับตัวแทนของโจทก์ระบุว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้ยอมใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ มิได้ระบุว่าจำเลยที่ 1 ทำสัญญาประนีประนอมยอมความในฐานะตัวแทนจำเลยที่ 2 ทั้งไม่ปรากฏหลักฐานเป็นหนังสือแสดงการตั้งจำเลยที่ 1 เป็นตัวแทนจำเลยที่ 2 แม้จำเลยที่ 2 จะลงลายมือชื่อในสัญญาประนีประนอมยอมความด้วยก็ลงในฐานะเป็นพยานเจ้าของรถ หาใช่กระทำในฐานะนายจ้างหรือคู่สัญญาไม่ สัญญาประนีประนอมยอมความจึงไม่ผูกพันจำเลยที่ 2
โจทก์กับจำเลยที่ 1 ลูกจ้างของจำเลยที่ 2 ทำสัญญาประนีประนอมยอมความระงับข้อพิพาท อันเป็นเหตุให้มูลหนี้ละเมิดระงับสิ้นไปและโจทก์ได้สิทธิใหม่ตามสัญญา ความรับผิดของจำเลยที่ 2 ในฐานะนายจ้างและตัวการเพื่อการกระทำละเมิดของจำเลยที่ 1 ย่อมระงับ เมื่อจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้เอาประกันภัยไม่ต้องรับผิดตามกฎหมาย จำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นผู้รับประกันภัยจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ เป็นลูกจ้างและตัวแทนของจำเลยที่ ๒ซึ่งเป็นเจ้าของรถยนต์บรรทุก และจำเลยที่ ๓ เป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์ดังกล่าวในประเภทประกันภัยค้ำจุน จำเลยที่ ๑ ได้ขับรถยนต์ของจำเลยที่ ๒ ดังกล่าว โดยประมาทชนรถยนต์โดยสารของโจทก์ได้รับความเสียหาย หลังเกิดเหตุจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับโจทก์ โดยจำเลยที่ ๑ ในฐานะส่วนตัวและตัวแทนจำเลยที่ ๒ ตกลงชำระค่าเสียหายให้ตัวแทนโจทก์ เมื่อถึงกำหนดชำระจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ผิดนัดไม่ชำระหนี้ จำเลยที่ ๓ ผู้รับประกันภัยค้ำจุนต้องร่วมรับผิดแก่โจทก์ด้วย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชำระพร้อมดอกเบี้ย
จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ ๓ ให้การว่า จำเลยที่ ๑ มิได้เป็นลูกจ้างและตัวแทนจำเลยที่ ๒ จำเลยที่ ๒ ไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ จำเลยที่ ๓ จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ด้วยทั้งจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ มิได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขของกรมธรรม์ประกันภัย คือผู้เอาประกันภัยจะต้องไม่ตกลงยินยอมเสนอ หรือให้สัญญาว่าจะชดใช้ค่าเสียหายให้แก่บุคคลใดโดยไม่ได้รับความยินยอมจากจำเลยที่ ๓ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะโจทก์ไม่ใช่คู่สัญญาและไม่มีนิติสัมพันธ์กับจำเลยทั้งสาม มูลหนี้ละเมิดระงับไปแล้วโดยสัญญาระหว่างจำเลยที่ ๑ กับฝ่ายโจทก์ สัญญานั้นไม่ผูกพันจำเลยที่ ๒ จำเลยที่ ๓ จึงไม่ต้องรับผิด ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยที่ ๑ ขับรถยนต์บรรทุกน้ำมันของจำเลยที่ ๒ ชนรถยนต์โดยสารของโจทก์เสียหาย แล้วจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ได้ตกลงยอมใช้ค่าเสียหายให้ฝ่ายโจทก์ บันทึกข้อตกลงดังกล่าวเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความเพื่อระงับหนี้มูลละเมิด จึงผูกพันจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ จำเลยที่ ๓เป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์บรรทุกน้ำมันของจำเลยที่ ๒ เงื่อนไขแห่งความรับผิดตามสัญญาประกันภัยไม่ผูกพันโจทก์ซึ่งมิใช่คู่สัญญา การที่จำเลยที่ ๒ ทำสัญญาประนีประนอมยอมความโดยมิได้แจ้งให้จำเลยที่ ๓ ทราบอันเป็นการฝ่าฝืนข้อกำหนดในกรมธรรม์ประกันภัย ก็เป็นเรื่องที่จำเลยที่ ๓ จะต้องว่ากล่าวกับจำเลยที่ ๒ เอง จะอ้างมายันโจทก์หาได้ไม่ แม้สัญญาประนีประนอมยอมความจะระงับหนี้มูลละเมิด แต่สัญญาทำขึ้นก็เนื่องจากอุบัติเหตุอันเกิดจากการใช้รถยนต์ที่จำเลยที่ ๓ ได้รับประกันภัยไว้ จำเลยที่ ๓ จึงต้องรับผิดต่อโจทก์พิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลยที่ ๓ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า โจทก์ฟ้องให้จำเลยทั้งสามรับผิดตามสัญญา หาได้ฟ้องให้รับผิดในมูลละเมิดไม่ หากโจทก์เพียงบรรยายฟ้องให้เห็นว่าข้อตกลงตามสัญญามีที่มาจากมูลละเมิดเท่านั้น ดังนี้สิทธิเรียกร้องของโจทก์ในมูลละเมิดย่อมระงับสิ้นไป มาผูกพันกันใหม่ตามสัญญา แต่จำเลยที่ ๓ มิได้เป็นคู่สัญญาด้วย จึงไม่มีหน้าที่ต้องรับผิดต่อโจทก์ แม้จำเลยที่ ๒ ต้องรับผิดก็ไม่มีผลให้จำเลยที่ ๓ ต้องมีส่วนรับผิดด้วย พิพากษาแก้เป็นว่าให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ ๓
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า แม้ตามสัญญาประกันภัยจำเลยที่ ๓ จะต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนในนามจำเลยที่ ๒ เพื่อความเสียหายต่อทรัพย์สินของบุคคลภายนอกเนื่องจากอุบัติเหตุอันเกิดจากการใช้รถยนต์ในระหว่างระยะเวลาประกันภัยโดยมิได้ระบุว่าจะต้องเป็นความเสียหายจากมูลละเมิดเท่านั้น แต่สัญญาประกันภัยดังกล่าวก็ระบุว่า จำเลยที่ ๓ จะใช้ค่าสินไหมทดแทนในนามของผู้เอาประกันภัยซึ่งผู้เอาประกันภัยต้องรับผิดตามกฎหมายคดีนี้ตามคำฟ้องของโจทก์อ้างว่าจำเลยที่ ๑ เป็นลูกจ้างและตัวแทนของจำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นเจ้าของรถยนต์ และเมื่อจำเลยที่ ๑ ขับรถยนต์ของจำเลยที่ ๒ ชนรถยนต์ของโจทก์เสียหาย จำเลยที่ ๑ ในฐานะส่วนตัวและตัวแทนของจำเลยที่ ๒ ได้ตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับตัวแทนของโจทก์ยอมใช้ค่าเสียหายให้โจทก์เป็นเงิน ๕,๔๐๐ บาท แต่จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ไม่ชำระเงินตามสัญญา โจทก์จึงฟ้องจำเลยที่ ๓ ในฐานะผู้รับประกันภัยให้ร่วมรับผิดด้วยศาลฎีกาเห็นว่า สัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างจำเลยที่ ๑ กับตัวแทนของโจทก์ระบุไว้โดยชัดแจ้งว่าจำเลยที่ ๑ เป็นผู้ยอมใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ไม่มีข้อความตอนใดที่ระบุว่าจำเลยที่ ๑ ทำสัญญาประนีประนอมยอมความในฐานะตัวแทนของจำเลยที่ ๒ ทั้งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๘๕๑ ก็บังคับว่าสัญญาประนีประนอมยอมความนั้นจะต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือและมาตรา ๗๙๘ วรรคสองบัญญัติว่า กิจการอันใดท่านบังคับว่าต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ การตั้งตัวแทนเพื่อกิจการอันนั้นก็ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือด้วย แต่ข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่ามีหลักฐานเป็นหนังสือแสดงการตั้งจำเลยที่ ๑ เป็นตัวแทนของจำเลยที่ ๒ แต่อย่างใด แม้จำเลยที่ ๒ จะลงลายมือชื่อในสัญญาประนีประนอมยอมความด้วยก็ลงไว้ในฐานะเป็นพยานเจ้าของรถ หาใช่กระทำในฐานะนายจ้างหรือตัวการหรือคู่สัญญาไม่ ดังนั้นสัญญาประนีประนอมยอมความจึงไม่ผูกพันจำเลยที่ ๒ คงผูกพันเฉพาะจำเลยที่ ๑ กับโจทก์ซึ่งเป็นคู่สัญญาเท่านั้น เมื่อโจทก์กับจำเลยที่ ๑ทำสัญญาประนีประนอมยอมความระงับข้อพิพาท อันเป็นเหตุให้มูลหนี้ละเมิดระงับสิ้นไปและโจทก์ได้สิทธิใหม่ตามสัญญา ความรับผิดของจำเลยที่ ๒ ในฐานะนายจ้างและตัวการเพื่อการกระทำละเมิดของจำเลยที่ ๑ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๔๒๕ และ ๔๒๗ ย่อมระงับ เมื่อจำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นผู้เอาประกันภัยไม่ต้องรับผิดตามกฎหมาย จำเลยที่ ๓ ซึ่งเป็นผู้รับประกันภัยจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์
พิพากษายืน