แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
หลังจากศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยฉบับลงวันที่ 30 กรกฎาคม 2551 ต่อมาวันที่ 4 สิงหาคม 2551 ซึ่งยังอยู่ในกำหนดระยะเวลายื่นอุทธรณ์ตามที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้ขยาย จำเลยได้ยื่นอุทธรณ์ฉบับใหม่เข้ามา โดยนำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งต้องใช้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งตามคำพิพากษามาวางศาลพร้อมอุทธรณ์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 229 ด้วย อุทธรณ์ของจำเลยฉบับนี้เป็นการอุทธรณ์โต้แย้งคำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้จำเลยยื่นคำให้การ มิใช่อุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ปฏิเสธไม่ยอมรับอุทธรณ์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 236 จำเลยจึงไม่ต้องนำค่าฤชาธรรมเนียมทั้งปวงมาวางศาลและนำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 234 ดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัย ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายกอุทธรณ์ของจำเลยมาจึงไม่ถูกต้อง ไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 242 (1)
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้องขออนุญาตยื่นคำให้การ แล้วพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 480,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 3,000 บาท จำเลยยื่นคำร้องขออนุญาตขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้ขยายระยะเวลาได้ถึงวันที่ 4 สิงหาคม 2551 จำเลยยื่นอุทธรณ์วันที่ 30 กรกฎาคม 2551 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า จำเลยอุทธรณ์คำสั่งที่ไม่อนุญาตให้ยื่นคำให้การ หากศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาอนุญาตให้จำเลยยื่นคำให้การ มีผลทำให้คดีต้องย้อนสำนวนและเป็นการกลับคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยเสียค่าขึ้นศาลเพียง 200 บาท โดยไม่ได้นำเงินค่าธรรมเนียมที่จะต้องใช้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งตามคำพิพากษามาวางศาลพร้อมอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 229 จึงไม่รับอุทธรณ์ ครั้นวันที่ 4 สิงหาคม 2551 จำเลยได้ยื่นอุทธรณ์ฉบับใหม่เข้ามา ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายกอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลย ให้คืนค่าธรรมเนียมศาลทั้งหมดในชั้นอุทธรณ์คำสั่งระหว่างพิจารณา และอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์แก่จำเลย ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์นอกจากนี้ให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีคงมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายกอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยชอบหรือไม่ เห็นว่า หลังจากศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยฉบับลงวันที่ 30 กรกฎาคม 2551 ต่อมาวันที่ 4 สิงหาคม 2551 ซึ่งยังอยู่ในกำหนดระยะเวลายื่นอุทธรณ์ตามที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้ขยาย จำเลยได้ยื่นอุทธรณ์ฉบับใหม่เข้ามา โดยนำเงินค่าธรรมเนียมซึ่งต้องใช้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งตามคำพิพากษามาวางศาลพร้อมอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 229 ด้วย อุทธรณ์ของจำเลยฉบับนี้เป็นการอุทธรณ์โต้แย้งคำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้จำเลยยื่นคำให้การ มิใช่อุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ปฏิเสธไม่ยอมรับอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 236 จำเลยจึงไม่ต้องนำค่าฤชาธรรมเนียมทั้งปวงมาวางศาลและนำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 234 ดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัย ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายกอุทธรณ์ของจำเลยมาจึงไม่ถูกต้อง ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 242 (1) ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ให้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 รับอุทธรณ์ของจำเลยไว้พิจารณาและมีคำพิพากษาตามรูปคดี คืนค่าธรรมเนียมศาลตามอุทธรณ์ฉบับลงวันที่ 30 กรกฎาคม 2551 แก่จำเลยทั้งหมด ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ