คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2476/2536

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่า จำเลยแย่งการครอบครองบ้านและที่ดินพิพาทจากโจทก์แล้วหรือไม่ การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1วินิจฉัยว่าจำเลยครอบครองบ้านและที่ดินพิพาทเพื่อตนเองมิใช่ครอบครองแทนโจทก์จึงเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น ทั้งมิใช่เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน จึงเป็นการไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ว่าด้วยคำพิพากษาและคำสั่งตามมาตรา 243(1) ประกอบด้วยมาตรา 247 เป็นการไม่ชอบแต่ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยไปเสียเลยโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยอีก เดิมจำเลยอาศัยอยู่ในบ้านและที่ดินพิพาทก่อนที่โจทก์จะซื้อฝากจาก ส.เมื่อส.ไม่ใช้สิทธิไถ่คืนภายในกำหนด โจทก์จึงได้สิทธิครอบครองบ้านและที่ดินพิพาท การที่จำเลยยังคงอาศัยอยู่ในบ้านและที่ดินดังกล่าวจึงเป็นการครอบครองแทนโจทก์ แต่เมื่อโจทก์มาขับไล่ให้จำเลยออกไป จำเลยไม่ยอมออกโดยอ้างว่าบ้านและที่ดินพิพาทเป็นของจำเลย และต่อมาจำเลยได้ยื่นฟ้องโจทก์ขอให้เพิกถอนนิติกรรมขายฝากระหว่างส.กับโจทก์ ถือได้ว่าจำเลยได้เปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือบ้านและที่ดินพิพาทโดยบอกกล่าวแสดงเจตนาไปยังโจทก์ว่าจะไม่ยึดถือบ้านและที่ดินพิพาทแทนโจทก์ต่อไป อันเป็นการแย่งการครอบครองบ้านและที่ดินพิพาทนับตั้งแต่วันที่จำเลยยื่นฟ้องโจทก์ จำเลยยื่นฟ้องโจทก์เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2529 ขอให้เพิกถอนนิติกรรมขายฝากระหว่าง ส.กับโจทก์ โจทก์ในฐานะจำเลยได้ยื่นคำให้การและฟ้องแย้งขอให้ขับไล่จำเลยเมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2529การที่ศาลมีคำสั่งจำหน่ายคดีเนื่องจากจำเลยไม่นำค่าธรรมเนียมมาวางศาลภายในกำหนดนั้น เป็นเรื่องที่จำเลยในฐานะที่เป็นโจทก์เพิกเฉยไม่ดำเนินคดีภายในเวลาตามที่ศาลเห็นสมควรกำหนดไว้เพื่อการนั้น ถือว่าจำเลยทิ้งฟ้องซึ่งไม่เกี่ยวกับโจทก์ แม้ฟ้องแย้งของโจทก์ซึ่งมีฐานะเป็นจำเลยจะตกไปด้วยก็เป็นไปโดยผลของกฎหมายจะถือว่าโจทก์ทิ้งฟ้องแย้งด้วยหาได้ไม่ คำสั่งดังกล่าวย่อมไม่ลบล้างผลแห่งการยื่นคำฟ้องแย้งของโจทก์ในคดีก่อนและในคดีดังกล่าวโจทก์และจำเลยต่างอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายื่นโดยมีการอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เมื่อวันที่ 6 กันยายน 2531 การที่โจทก์ยื่นฟ้องจำเลยใหม่เป็นคดีนี้เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2531 จึงเป็นกรณีสืบเนื่องมาจากฟ้องแย้งเดิมซึ่งโจทก์ได้ใช้สิทธิฟ้องเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองภายในกำหนดหนึ่งปี นับแต่เวลาถูกแย่งการครอบครองแล้ว โจทก์จึงไม่ขาดสิทธิฟ้องร้องตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดิน น.ส.3 พร้อมตึกแถวโดยซื้อฝากมาจากนางสุภาพ หร่ายกลาง แต่นางสุภาพไม่ไถ่ถอนภายในกำหนดจึงบอกกล่าวให้นางสุภาพและบริวารออกไปจากบ้านและที่ดินดังกล่าว นางสุภาพยินยอมออกไปโดยดี คงเหลือจำเลยและบริวารที่ยังเพิกเฉยไม่ยอมออกไปจากบ้านและที่ดินของโจทก์ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายคิดเป็นค่าเสียหายเดือนละ 1,500 บาท ขอให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกไปจากบ้านและที่ดินของโจทก์ ให้จำเลยชำระค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 1,500 บาท นับตั้งแต่วันที่ 28 ธันวาคม2528 เป็นต้นไปจนกว่าจะออกไปจากบ้านและที่ดินของโจทก์
จำเลยให้การว่า บ้านและที่ดินพิพาทเป็นของจำเลย โจทก์รับซื้อฝาก จากนางสุภาพโดยไม่สุจริต จำเลยจึงฟ้องโจทก์และนางสุภาพให้เพิกถอนนิติกรรมการขายฝากที่ทำขึ้นโดยไม่ชอบเมื่อวันที่ 30 เมษายน 2529 ซึ่งถือว่าจำเลยได้แสดงเจตนาครอบครองอย่างเป็นเจ้าของตลอดมาตั้งแต่วันดังกล่าว โจทก์เพิ่งฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2531 เกิน 1 ปี คดีโจทก์จึงขาดอายุความฟ้องร้องแล้วขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกไปจากบ้านและที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่25 หมู่ที่ 3 ตำบลจอหอ อำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมาให้จำเลยชำระค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 700 บาท นับตั้งแต่วันที่13 มิถุนายน 2529 เป็นต้นไป จนกว่าจำเลยและบริวารจะออกไปจากบ้านและที่ดินพิพาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทไว้2 ข้อ คือ 1. จำเลยแย่งการครอบครอง (บ้านและที่ดินพิพาท) จากโจทก์แล้วหรือไม่ และ 2. ค่าเสียหายมีเพียงใด แต่ศาลอุทธรณ์ภาค 1วินิจฉัยว่าโจทก์ (ที่ถูกจำเลย)และสามีไม่ได้ขายที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้แก่นางสุภาพ จำเลยครอบครองบ้านและที่ดินพิพาทเพื่อตนเอง มิใช่ครอบครองแทนโจทก์ โดยมิได้วินิจฉัยว่าจำเลยได้แย่งการครอบครองบ้านและที่ดินพิพาทจากโจทก์แล้วหรือไม่ตามที่ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทไว้ การวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ภาค 1 ดังกล่าวเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น ทั้งมิใช่เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน จึงเป็นการไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งว่าด้วยคำพิพากษาและคำสั่งตาม มาตรา 243(1) ประกอบด้วยมาตรา 247เป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยไปเสียเลยโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัย ในปัญหาที่ว่า จำเลยแย่งการครอบครองบ้านและที่ดินพิพาทจากโจทก์แล้วหรือไม่ นั้นข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า จำเลยอาศัยอยู่ในบ้านและที่ดินพิพาทก่อนที่โจทก์จะรับซื้อฝากจากนางสุภาพเมื่อนางสุภาพไม่ใช้สิทธิไถ่ภายในกำหนด โจทก์จึงได้ซึ่งสิทธิครอบครองบ้านและที่ดินพิพาทการที่จำเลยยังคงอาศัยอยู่ในบ้านและที่ดินพิพาทจึงเป็นการครอบครองแทนโจทก์ เมื่อปี 2529 โจทก์มาขับไล่จำเลยให้ออกจากบ้านและที่ดินพิพาท แต่จำเลยไม่ยินยอม โดยบอกว่าบ้านและที่ดินพิพาทเป็นของจำเลย และต่อมาเมื่อวันที่ 30 เมษายน 2529 จำเลยได้ฟ้องโจทก์เป็นจำเลยที่ 2 ต่อศาลชั้นต้นขอให้เพิกถอนนิติกรรมการขายฝากระหว่างนางสุภาพกับโจทก์ ถือได้ว่าจำเลยได้เปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือบ้านและที่ดินพิพาทโดยบอกกล่าวแสดงเจตนาไปยังโจทก์ว่าจะไม่ยึดถือบ้านและที่ดินพิพาทแทนโจทก์ต่อไป อันเป็นการแย่งการครอบครองบ้านและที่ดินพิพาทจากโจทก์แล้ว มีปัญหาต้องวินิจฉัยต่อไปว่า โจทก์ได้ฟ้องคดีเพื่อเอาคืน ซึ่งการครอบครองภายในกำหนดหนึ่งปีนับแต่เวลาถูกแย่งการครอบครองหรือไม่ ในปัญหานี้ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า คดีก่อนจำเลยเป็นโจทก์ฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นจำเลยเมื่อวันที่ 30 เมษายน 2529 ตามคดีหมายเลขแดงที่ 1338/2529 ของศาลจังหวัดนครราชสีมา ถือได้ว่าจำเลยแย่งการครอบครองบ้านและที่ดินพิพาทในวันดังกล่าว โจทก์ในฐานะจำเลยได้ยื่นคำให้การและฟ้องแย้งขอให้ขับไล่จำเลยเมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2529 แต่คดีดังกล่าวศาลมีคำสั่งจำหน่ายคดีของจำเลยซึ่งเป็นโจทก์ในคดีก่อน เนื่องจากจำเลยไม่นำค่าธรรมเนียมมาวางศาลภายในกำหนดและมีคำสั่งต่อไปว่าเมื่อศาลสั่งจำหน่ายคดีของจำเลยหรือโจทก์ในคดีก่อนแล้วฟ้องแย้งของโจทก์ซึ่งเป็นจำเลยในคดีก่อนจึงตกไปด้วย ศาลฎีกาเห็นว่าการที่ศาลมีคำสั่งจำหน่ายคดีเนื่องจากจำเลยไม่นำค่าธรรมเนียมมาวางศาลภายในกำหนดนั้นเป็นเรื่องที่จำเลยในฐานะที่เป็นโจทก์เพิกเฉยไม่ดำเนินคดีภายในเวลาตามที่ศาลเห็นสมควรกำหนดไว้เพื่อการนั้น ถือว่าจำเลยทิ้งฟ้องซึ่งไม่เกี่ยวกับโจทก์แม้ฟ้องแย้งของโจทก์ซึ่งมีฐานะเป็นจำเลยจะตกไปด้วยก็เป็นไปโดยผลของกฎหมายจะถือว่าโจทก์ทิ้งฟ้องแย้งด้วยหาได้ไม่ คำสั่งดังกล่าวย่อมไม่ลบล้างผลแห่งการยื่นคำฟ้องแย้งของโจทก์ในคดีก่อน และในคดีดังกล่าวโจทก์และจำเลยต่างอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โดยมีการอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เมื่อวันที่ 6 กันยายน 2531 การที่โจทก์ยื่นฟ้องจำเลยใหม่เป็นคดีนี้เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2531 จึงเป็นกรณีสืบเนื่องมาจากฟ้องแย้งเดิมซึ่งโจทก์ได้ใช้สิทธิฟ้องเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองภายในกำหนดหนึ่งปี นับแต่เวลาถูกแย่งการครอบครองแล้วโจทก์จึงไม่ขาดสิทธิฟ้องร้องตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1พิพากษายกฟ้องมานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษากลับให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share