แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ผู้ตายกับพวกซึ่งมีจำนวนมากคน ได้รายล้อมเข้าไปโดยอาการที่เห็นได้ว่าผู้ตายกับพวกจะเข้าทำร้ายจำเลย จำเลยมีแต่ตัวคนเดียวและเป็นเวลากลางคืน จำเลยยิงปืนขึ้น สองนัดนัดแรกเป็นการยิงขู่ แต่ผู้ตายกับพวกก็มิได้หยุดยั้ง คงรายล้อมเข้าไปในลักษณะอาการที่จะกลุ้มรุมทำร้ายจำเลยอีก จำเลยใช้ปืนยิงไปนัดที่สองถูกนายเล็กและผู้ตาย ย่อมถือได้ว่าจำเลยจำต้องกระทำเพื่อป้องกันสิทธิของตนให้พ้นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย และเป็นภยันตรายอันใกล้จะถึงการกระทำของจำเลยจึงเป็นการป้องกัน
แม้ว่าผู้ตายกับพวกจะเข้าไปกลุ้มรุมทำร้ายจำเลย แต่พวกผู้ตายไม่มีปืน การที่จำเลยใช้ปืนยิงเพื่อป้องกันเป็นการเกินสมควรแก่เหตุ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยรับราชการเป็นตำรวจ บังอาจใช้อาวุธปืนเล็กยาวเอ็มวันไรเฟิล แบบ ๘๘ ขนาด ๗.๖๒ มม. ซึ่งเป็นอาวุธปืนของทางราชการตำรวจใช้ในราชการ ยิงนายรักชาติกับนายเล็กโดยเจตนาฆ่า กระสุนปืนถูกนายรักชาติถึงแก่ความตาย และถูกนายเล็กได้รับอันตรายแก่กาย เจ้าพนักงานได้ปลอกกระสุน ๒ ปลอกในที่เกิดเหตุและได้ปืนและกระสุนปืน ๓๐ นัด ซึ่งจำเลยใช้กระทำความผิดเป็นของกลางขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘ และคืนของกลางแก่กรมตำรวจ
นายทึงเต็งบิดานายรักชาติผู้ตายขอเข้าเป็นโจทก์ร่วม ศาลอนุญาต
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามมาตรา ๒๘๘ ให้จำคุก๒๐ ปี ลดโทษให้ตามมาตรา ๗๘ หนึ่งในสาม จำคุก ๑๓ ปี ๔ เดือนคืนของกลางแก่กรมตำรวจ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกาว่าจำเลยได้ยิงเพื่อป้องกันตัว ไม่ควรมีความผิด
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า น่าเชื่อว่าผู้ตายกับพวกเป็นฝ่ายก่อเหตุระรานจำเลยในตอนเกิดเหตุด้วยในขณะที่จำเลยเดินผ่านกลุ่มของผู้ตายไปจำเลยมีเพียงตัวคนเดียว ฝ่ายผู้ตายมีพวกหลายคนคงรายล้อมเข้าไปหาผู้ตาย จำเลยยิงปืนขึ้นสองนัด แต่นัดหนึ่งเป็นการยิงขู่นัดนี้น่าจะเป็นนัดแรก เมื่อจำเลยยิงขู่ไปแล้วนัดหนึ่ง ผู้ตายกับพวกก็มิได้หยุดยั้งคงรายล้อมเข้าไปในลักษณะอาการที่จะกลุ้มรุมทำร้ายจำเลยอีก
การที่ผู้ตายกับพวกซึ่งมีจำนวนมากคนได้รายล้อมเข้าไปโดยอาการที่เห็นได้ว่าผู้ตายกับพวกจะเข้าทำร้ายจำเลย จำเลยมีแต่ตัวคนเดียวและเป็นเวลากลางคืน ที่จำเลยใช้ปืนยิงไปนัดที่สองถูกนายเล็กและผู้ตาย ย่อมถือได้ว่าจำเลยจำต้องกระทำเพื่อป้องกันสิทธิของตนให้พ้นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย และเป็นภยันตรายอันใกล้จะถึงแล้ว การกระทำของจำเลยจึงเป็นการป้องกัน
แม้ว่าผู้ตายกับพวกจะเข้าไปกลุ้มรุมทำร้ายจำเลย แต่พวกผู้ตายไม่มีปืน ฉะนั้น การที่จำเลยใช้ปืนยิงเพื่อป้องกัน จึงเป็นการป้องกันเกินสมควรกว่าเหตุ
พิพากษาแก้ ว่าจำเลยมีความผิดตามมาตรา ๒๘๘ แต่เป็นกรณีป้องกันที่กระทำไปเกินสมควรแก่เหตุตามมาตรา ๖๙ ให้จำคุก ๕ ปี ของกลางให้บังคับตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์