คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2466/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องเรียกเงินที่จำเลยเบิกเกินบัญชี โดยบรรยายฟ้องว่าจำเลยขอเปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวันกับโจทก์ และตกลงว่าในกรณีเงินฝากคงเหลือในบัญชีดังกล่าวของจำเลยไม่พอจ่าย หากโจทก์ผ่อนผันจ่ายเงินไปก่อนแล้ว จำเลยยอมชำระเงินจำนวนที่เบิกเกินบัญชีคืนแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ย โดยส่งคำขอเปิดบัญชีและหลักฐานการหักทอนบัญชีมาพร้อมคำฟ้องนั้น เป็นคำฟ้องที่แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 แล้ว ส่วนข้อที่ว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์เมื่อใด มูลหนี้เกี่ยวกับอะไรและที่มาของมูลหนี้นั้น เป็นรายละเอียดที่โจทก์สามารถจะสืบได้ในชั้นพิจารณา จำเลยยื่นเช็คและใบคืนเช็คมาท้ายฎีกาเพื่อสนับสนุนข้อฎีกาของจำเลยที่ว่าไม่เคยทำข้อตกลงบัญชีเดินสะพัดกับโจทก์ โดยจำเลยมิได้ยื่นบัญชีระบุเช็คกับใบคืนเช็คดังกล่าวเป็นพยาน และไม่ได้นำสืบไว้ในชั้นพิจารณาของศาลชั้นต้น จึงรับฟังเช็คและใบคืนเช็คดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานไม่ได้ จำเลยฎีกาว่า โจทก์อนุมัติจ่ายเงินตามเช็คที่จำเลยสั่งจ่ายจากบัญชีของจำเลยโดยประมาทเลินเล่อ จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดในต้นเงินและดอกเบี้ยโดยจำเลยไม่ได้ให้การต่อสู้ในข้อนี้ไว้ จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวันกับโจทก์สาขาสำเพ็ง ตกลงให้บัญชีดังกล่าวเป็นบัญชีเดินสะพัดต่อกันและในกรณีที่โจทก์ผ่อนผันจ่ายเงินเกินจากเงินคงเหลือในบัญชีจำเลยยอมเสียดอกเบี้ยของเงินจำนวนที่เบิกเกินบัญชีแก่โจทก์ในอัตราร้อยละ 18 ต่อปี หรืออัตราสูงสุดตามกฎหมายตามประเพณีการค้าของธนาคาร เมื่อโจทก์คิดหักทอนบัญชีเพียงวันที่ 30 พฤษภาคม 2529ปรากฏว่าจำเลยเป็นลูกหนี้เบิกเงินเกินบัญชีอยู่กับโจทก์เป็นเงิน712,090.70 บาท โจทก์ทวงถามแล้ว แต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 963,175.83 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปีของต้นเงิน 712,090.70 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า ฟ้องของโจทก์เคลือบคลุม จำเลยเปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวันกับโจทก์ แต่ไม่เคยทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชี หรือทำสัญญาบัญชีเดินสะพัดกับโจทก์ โจทก์จึงไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้นจากจำเลย จำเลยไม่ได้เป็นหนี้โจทก์ตามฟ้องและจำเลยหยุดใช้บัญชีดังกล่าวตั้งแต่ปี 2528 จำเลยไม่เคยได้รับหนังสือทวงหนี้จากโจทก์ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 712,090.70 บาทให้โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ 31 พฤษภาคม 2529 ไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ เห็นว่า โจทก์ฟ้องเรียกเงินจากจำเลยที่เบิกเงินเกินบัญชีไปตามคำขอเปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวันการที่โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยขอเปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวันกับโจทก์เมื่อใด บัญชีเลขที่เท่าใด และตกลงว่าในกรณีเงินฝากคงเหลือในบัญชีเงินฝากกระแสรายวันของจำเลยไม่พอจ่าย หากโจทก์ผ่อนผันจ่ายเงินไปก่อนแล้ว จำเลยยอมผูกพันตนที่จะต้องชำระเงินจำนวนที่เบิกเกินบัญชีคืนให้แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ย ทั้งส่งคำขอเปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวันและหลักฐานการหักทอนบัญชีมาพร้อมกับคำฟ้องจึงเป็นคำฟ้องที่แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นแล้ว ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสอง ฟ้องโจทก์หาเคลือบคลุมไม่ ส่วนข้อที่ว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์เมื่อใด มูลหนี้เกี่ยวกับอะไร และที่มาของมูลหนี้นั้นเป็นรายละเอียดที่โจทก์สามารถจะสืบในชั้นพิจารณาได้ หาจำต้องบรรยายไว้ในคำฟ้องไม่ส่วนที่จำเลยอ้างว่า จำเลยเคยสั่งจ่ายเช็คธนาคารโจทก์สาขาสำเพ็งบัญชีเดียวกับที่โจทก์นำมาฟ้องคดีนี้ จำนวนเงิน 100,000 บาทแต่โจทก์ปฏิเสธการจ่ายเงิน โดยยื่นเช็คและใบคืนเช็คมาท้ายฎีกาด้วยเพื่อสนับสนุนให้เห็นว่าจำเลยไม่ได้มีข้อตกลงบัญชีเดินสะพัดกับโจทก์นั้น จำเลยมิได้ยื่นบัญชีระบุเช็คและใบคืนเช็คดังกล่าวเป็นพยาน และไม่ได้นำสืบไว้ในชั้นพิจารณาของศาลชั้นต้น จึงรับฟังเป็นพยานหลักฐานไม่ได้ แล้วฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยทำสัญญาเปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวันกับโจทก์โดยมีข้อตกลงให้เป็นบัญชีเดินสะพัดอันเป็นข้อตกลงเบิกเงินเกินบัญชี
ที่จำเลยฎีกาว่า การที่โจทก์อนุมัติจ่ายเงินตามเช็คที่จำเลยสั่งจ่ายเงินจำนวน 500,000 บาท ตามเอกสารหมาย จ.12 เป็นความประมาทเลินเล่อของโจทก์ เป็นเหตุให้จำเลยไม่ต้องรับผิดในต้นเงินดังกล่าวรวมทั้งดอกเบี้ยนั้น จำเลยมิได้ให้การต่อสู้ในข้อนี้ไว้ จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายืน

Share