คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 246/2488

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

หนี้สินระบุเป็นเงินตราต่างประเทศภายหลังประเทศไทยประกาศสงครามกับประเทศนั้น ก็ไม่ทำให้หนี้นั้นเสื่อมเสียไป เจ้าหนี้ฟ้องขอให้ลูกหนี้ชำระเป็นเงินไทยได้
หนี้สินระบุเป็นเงินตราต่างประเทศซึ่งภายหลังเป็นคู่สงครามกัน ศาลบังคับให้ใช้เป็นเงินไทยโดยถืออัตราแลกเปลี่ยนในวันสุดท้ายที่ยังไม่เป็นศัตรูต่อกัน.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องเรียกเงินกู้ตามสัญญาซึ่งระบุเป็นเงินเหรียญรูเปีย (เงินตราต่างประเทศพะม่า) จากจำเลยที่ ๑ โดยเทียบอัตราแลกเปลี่ยน ๑๐๐ รูเปียเท่ากับ ๑๕๐ บาทจำเลยที่ ๒ เป็นผู้ค้ำประกัน
ศาลชั้นต้นตัดสินว่า ศาลจะบังคับชำระหนี้ตามฟ้องไม่ได้ ขัดต่อรัฐประศาสโนบายเพราะสัญญากู้เป็นเงินเหรียญรูเปีย เงินตราของประเทศคู่สงครามกับไทยและอัตราแลกเปลี่ยก็ไม่มีตามกฎหมาย พิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์เห็นว่าโจทก์มีสิทธิฟ้องขอให้ศาลบังคับชำระหนี้ หากพ้นวิสัยชำระเงินรูเปียไม่ได้ ก็ต้องชำระเป็นเงินไทยตามประมวลแพ่ง ฯ ม.๑๙๖ และชี้ขาดข้อเท็จจริงให้จำเลยชำระหนี้แก่โจทก์
จำเลยฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยในข้อกฎหมายว่าสัญญาหนี้สินระบุเป็นเงินต่างประเทศที่เป็นศัตรู การบังคับคดีไม่เป็นการขัดต่อรัฐประศาสโนบายอย่างใด การระบุหนี้เป็นเงินตราต่างประเทศก่อนที่เป็นศัตรูไม่ทำให้หนี้นั้นเป็นอันระงับยับยั้งหรือเลิกเพิกถอนไป และหนี้รายนี้ต้องชำระเป็นเงินไทยตามประมวลแพ่งฯ ม.๑๙๖ ส่วนอัตราแลกเปลี่ยนที่ใช้กันอยู่ในสมัยอันเป็นวาระสุดท้ายที่จะเกิดการเป็นศัตรูกันนั้น ๑๐๐ รูเปียต่อ ๘๐ บาท จึงเห็นควรถือตามอัตรานี้ จึงพิพากษาแก้ศาลอุทธรณ์ให้จำเลยใช้ต้นเงินและดอกเบี้ย ๑๔๙๗ รูเปีย ๒๕ เซนกับเงินไทย ๔๙ สตางค์โดยใช้เป็นเงินไทยโดยอัตรา ๑๐๐ รูเปียเท่ากับ ๘๐ บาท

Share