คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2456/2531

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยไม่พอใจผู้เสียหาย การที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงเข้าไปในห้องพัก วิถีกระสุนที่จำเลยยิงถูกฝาห้องสูงจากพื้น 1 เมตรเศษซึ่งไม่เกินความสูงของบุคคลธรรมดา โดยรู้อยู่ว่าผู้เสียหายอยู่ในห้องนั้น แม้จำเลยไม่เห็นตัวผู้เสียหายและไม่ทราบว่าผู้เสียหายหลบซ่อนอยู่มุมใดของห้องพัก จำเลยก็ย่อมเล็งเห็นผลแห่งการกระทำของตนได้ว่ากระสุนปืนอาจถูกผู้เสียหายถึงแก่ชีวิตได้แสดงให้เห็นเจตนาของจำเลยว่า จำเลยยิงโดยมีเจตนาให้ถูกผู้เสียหายเมื่อกระสุนปืนไม่ถูกผู้เสียหาย จำเลยจึงมีความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่น

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยใช้อาวุธปืนยิงนายรฤก เดี่ยววานิชย์ผู้เสียหายโดยเจตนาฆ่า กระสุนปืนไม่ถูกผู้เสียหาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80 จำเลยให้การปฏิเสธ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80, 288จำคุก 12 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์ โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยได้ใช้อาวุธปืนยิงเข้าไปในห้องพักของผู้เสียหาย 1 นัดในขณะที่ผู้เสียหายวิ่งหลบหนีจำเลยเข้าไปในห้องพัก แต่กระสุนปืนไม่ถูกผู้เสียหาย แล้ววินิจฉัยปัญหาเรื่องจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหายหรือไม่ว่า “เห็นว่า แม้จำเลยกับผู้เสียหายไม่เคยมีเรื่องโกรธเคืองกันมาก่อน แต่ตามพฤติการณ์แห่งคดีปรากฏว่าก่อนเกิดเหตุจำเลยไม่พอใจผู้เสียหายเนื่องจากผู้เสียหายมองหน้าจำเลยในขณะที่จำเลยขับรถผ่านหน้าโต๊ะซึ่งผู้เสียหายกับพวกนั่งรับประทานอาหาร เมื่อจำเลยจอดรถลงไปจะทำร้ายผู้เสียหาย ก็ไม่สามารถทำได้สำเร็จเพราะถูกพวกของผู้เสียหายขัดขวางดังนั้นการที่จำเลยวิ่งกลับเข้าไปเอาอาวุธปืนในห้องเช่าของจำเลยออกมาติดตามผู้เสียหาย ซึ่งวิ่งหลบหนีจำเลยเข้าไปในห้องพักแล้วใช้อาวุธปืนยิงเข้าไปในห้องพักที่มีตัวผู้เสียหายอยู่ในนั้นจำเลยย่อมเล็งเห็นผลแห่งการกระทำของตนได้ว่ากระสุนปืนอาจถูกผู้เสียหายถึงแก่ชีวิตได้ แสดงให้เห็นเจตนาของจำเลยโดยชัดแจ้งว่าจำเลยมีเจตนาที่จะใช้อาวุธปืนยิงประทุษร้ายผู้เสียหาย การที่จำเลยยิงปืนเข้าไปในห้องพักของผู้เสียหายโดยไม่เห็นตัวผู้เสียหายหรือไม่ทราบว่าผู้เสียหายหลบซ่อนอยู่มุมใดของห้องพักนั้นไม่ทำให้เจตนาของจำเลยเปลี่ยนแปลงไป ทั้งข้อเท็จจริงปรากฏว่าวิถีกระสุนปืนซึ่งจำเลยยิงไปถูกฝาห้องที่เกิดเหตุในระดับสูงจากพื้น 1 เมตรเศษซึ่งไม่เกินกว่าความสูงของบุคคลธรรมดา ฟังได้ว่าจำเลยมีเจตนาที่จะยิงเพื่อให้ถูกผู้เสียหาย มิใช่เป็นกรณีที่จำเลยยิงปืนเพียงเพื่อข่มขู่ผู้เสียหายดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย จำเลยจึงมีความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่น ดังนัยแห่งคำพิพากษาฎีกาที่117/2515 ระหว่างพนักงานอัยการจังหวัดสกลนคร โจทก์ ร้อยตำรวจเอกสำเริง ศรีมาดี จำเลย แต่พิเคราะห์ถึงพฤติการณ์แห่งคดีแล้วเห็นว่าจำเลยไม่เคยต้องโทษจำคุกมาก่อน ในขณะเกิดเหตุมีโอกาสใช้อาวุธปืนยิงกลุ่มคนที่มีปากเสียงมาก่อนตรงที่เกิดเหตุได้กลับยิงเข้าไปในห้องซึ่งมองไม่เห็นตัวผู้เสียหาย และปรากฏว่าจำเลยได้เข้ามอบตัวให้เจ้าพนักงานตำรวจดำเนินคดี อันเป็นการลุแก่โทษสมควรลงโทษสถานเบาและลดโทษให้จำเลย”
พิพากษากลับว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288, 80 วางโทษจำคุก 10 ปี ลดโทษให้ 1 ใน 3 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลย 6 ปี 8 เดือน

Share