แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
คดีถึงที่สุดโดยศาลวินิจฉัยว่า จำเลยเป็นเจ้าของและผู้จัดการโรงเรียน ร. ซึ่งตั้งอยู่ในที่พิพาท ให้รื้อถอนอาคารออกไป การที่จำเลยอ้างในชั้นบังคับคดีว่าอาคารโรงเรียน ร. เป็นของผู้อื่นมิใช่ของจำเลย ย่อมเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำในประเด็นที่ศาลได้มีคำวินิจฉัยชี้ขาดไปแล้ว ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 144 เป็นการยกข้อเท็จจริงที่ไม่อาจรับฟังได้มาเป็นข้ออ้าง ไม่มีเหตุที่จะยกเลิกการบังคับคดีตามคำพิพากษาได้
ย่อยาว
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยรื้อถอนโรงเรียนราษฎร์บำรุงผดุงวิทยาออกไปจากที่ดินโจทก์ ห้ามเข้าเกี่ยวข้อง ให้จำเลยชำระค่าเช่าและค่าเสียหายต่อมาจำเลยยื่นคำแถลงว่าอาคารโรงเรียนเป็นของชาวตลาดโพนางดำตกมิใช่ของจำเลย จำเลยไม่อาจรื้อตามคำบังคับได้ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำเลยจัดการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างตามคำพิพากษาภายใน 15 วัน ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “ปัญหาว่ามีสาเหตุที่ยกเลิกกิจการบังคับคดีตามคำพิพากษาที่ให้จำเลยรื้อถอนอาคารโรงเรียนราษฎร์บำรุงผดุงวิทยาออกจากที่พิพาทหรือไม่ เห็นว่า เมื่อคดีถึงที่สุดโดยศาลวินิจฉัยว่าจำเลยเป็นเจ้าของและผู้จัดการโรงเรียนราษฎร์บำรุงผดุงวิทยา ซึ่งตั้งอยู่ในที่พิพาท การที่จำเลยยกขึ้นอ้างในชั้นบังคับคดีอีกว่า อาคารโรงเรียนราษฎร์บำรุงผดุงวิทยาเป็นของชาวตลาดโพนางดำตก มิใช่ของจำเลย ย่อมเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำในประเด็นที่ศาลได้มีคำวินิจฉัยชี้ขาดไปแล้ว ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 144 เป็นกรณีที่ต้องบังคับไปตามคำพิพากษา ที่จำเลยฎีกาว่าคำบังคับของศาลเป็นการบังคับให้จำเลยปฏิบัติผิดกฎหมาย ขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชน หากจำเลยรื้อถอนอาคารและถูกดำเนินคดีอาญาใครจะรับผิดชอบนั้น เป็นการยกข้อเท็จจริงที่ไม่อาจรับฟังได้มาเป็นข้ออ้าง ไม่มีเหตุที่จะยกเลิกการบังคับคดีตามคำพิพากษาได้ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนให้จำเลยปฏิบัติตามคำพิพากษา ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ