แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ธนาคารผู้คัดค้านโอนเงินฝากประจำของลูกหนี้ที่ 2 ซึ่งเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการห้างหุ้นส่วนจำกัดลูกหนี้ที่ 1 ไปเข้าบัญชีกระแสรายวันของลูกหนี้ที่ 1 เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2522 เป็นการชำระหนี้ที่ลูกหนี้ที่ 1 เป็นหนี้เบิกเงินเกินบัญชีธนาคารเพื่อหักหนี้ เกิดจากหนังสือค้ำประกันยินยอมการหักบัญชีเงินฝากประจำชำระหนี้ระหว่างลูกหนี้ที่ 2 กับธนาคารผู้คัดค้านเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2520 ก่อนมีการขอให้ลูกหนี้ทั้งสองล้มละลายเมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2522 ธนาคารผู้คัดค้านในฐานเจ้าหนี้ของจำเลยที่ 2 ในมูลหนี้ค้ำประกัน และเป็นลูกหนี้ของจำเลยที่ 2 ในมูลหนี้เงินฝากประจำที่ธนาคารรับฝากไว้ แม้ว่าจะไม่มีข้อตกลงดังกล่าว ธนาคารผู้คัดค้านก็มีสิทธิที่จะหักลบกลบหนี้ระหว่างหนี้ตามสัญญาค้ำประกันกับมูลหนี้เงินฝากประจำนั้นได้ตามพระราชบัญญัติล้มละลายฯ มาตรา 102 ทั้งตามมาตรา 115 ใช้คำว่าลูกหนี้ได้กระทำหรือยินยอมให้กระทำ มุ่งถึงกิริยาที่ยินยอม มิได้ใช้คำว่าผู้อื่นทำด้วยความยินยอมของลูกหนี้ ดังนี้ จึงถือไม่ได้ว่าลูกหนี้ที่ 2 ได้กระทำหรือยินยอมให้ธนาคารผู้คัดค้านกระทำการโอนบัญชีและหักหนี้เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2522 ในระหว่างระยะเวลา 3 เดือนก่อนมีการขอให้ล้มละลายโดยมุ่งหมยให้ธนาคารผู้คัดค้านได้เปรียบแก่เจ้าหนี้อื่นตามมาตรา 115 เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะขอให้เพิกถอนการโอนดังกล่าวไม่ได้
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 8/2527)
ย่อยาว
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า นายชวลิตโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสามให้เป็นบุคคลล้มละลายเมื่อวันที่ ๓๐ ตุลาคม ๒๕๒๒ ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยทั้งสามเด็ดขาดเมื่อวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๓ และพิพากษาให้ล้มละลายเมื่อวันที่ ๓ ตุลาคม ๒๕๒๐ ตามทางสอบสวนของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ปรากฏว่าเมื่อวันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๒๐ ลูกหนี้ (จำเลย) ที่ ๑ โดยลูกหนี้ (จำเลย) ที่ ๒ หุ้นส่วนผู้จัดการได้ทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีไว้กับธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด เป็นจำนวนไม่เกิน ๑ ล้านบาทมีกำหนด ๑๒ เดือน มีลูกหนี้ที่ ๒ ทำสัญญาค้ำประกัน โดยลูกหนี้ที่ ๒ ยอมมอบเงินฝากประจำซึ่งฝากไว้กับธนาคารดังกล่าววงเงินฝาก ๑ ล้านบาทให้ไว้เป็นหลักประกันและทำหนังสือยินยิมให้ธนาคารหักบัญชีเงินฝากประจำชำระหนี้ หากลูกหนี้ที่ ๑ ผิดนัดไม่ชำระหนี้ตามสัญญา โดยไม่ต้องบอกกล่าวให้ลูกหนี้ที่ ๒ ทราบเสียก่อน เมื่อทำสัญญาแล้วจำเลยที่ ๑ ได้เบิกและนำเงินเข้าหักทอนบัญชีตลอดมา ต่อมาลูกหนี้ที่ ๑ ผิดนัดไม่ชำระหนี้ ธนาคารจึงดำเนินการหักกลบลบหนี้โดยโอนเงินฝากประจำของลูกหนี้ที่ ๒ จำนวน ๑,๐๗๐,๙๑๙ บาท ๒๘ สตางค์ ไปเข้าบัญชีกระแสรายวันของลูกหนี้ที่ ๑ เมื่อวันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๒๒ เป็นการชำระหนี้ที่ลูกหนี้ที่ ๑ เป็นหนี้เบิกเงินเกินบัญชีธนาคาร การที่ลูกหนี้ที่ ๒ ยินยอมให้ธนาคารหักเงินจากบัญชีเงินฝากประจำไปเข้าบัญีกระแสรายวันของลูกหนี้ที่ ๑ ดังกล่าวเป็นการกระทำในระหว่างระยะเวลา ๓ เดือนก่อนมีการขอให้ล้มละลายโดยมุ่งหมายให้ธนาคารเจ้าหนี้ได้เปรียบแก่เจ้าหนี้อื่นซึ่งยื่นคำขอรับชำระหนี้ไว้จึงขอให้ศาลเพิกถอนการชำระหนี้ ให้ธนาคารคืนเงินพร้อมดอกเบี้ย
ผู้คัดค้านแถลงคัดค้านว่า ในวันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๒๑ ซึ่งครบกำหนดสัญญา ลูกหนี้ที่ ๑ เป็นหนี้เบิกเงินเกินบัญชี ๑,๐๖๖,๕๔๗ บาท ๕๗ สตางค์ แต่ลูกหนี้ที่ ๑ ไม่ชำระ ผู้คัดค้านจึงนำเงินฝากประจำที่ลูกหนี้ที่ ๒ ส่งมอบเป็นประกันชำระหนี้ตามสิทธิของผู้คัดค้น หาใช่เป็นการกระทำของลูกหนี้ที่ ๒ หรือลูกหนี้ที่ ๒ ยินยอมให้กระทำในระหว่างระยะเวลา ๓ เดือนก่อนมีการขอให้ล้มละลายโดยมุ่งหมายให้ผู้คัดค้านได้เปรียบแก่เจ้าหนี้อื่นไม่ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เพิกถอนการโอนชำระหนี้
ผู้คัดค้านอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกคำร้อง
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาข้อนี้โโดยมติที่ประชุมใหญ่ได้พิเคราะห์พยานหลักฐานของผู้ร้องและผู้คัดค้านแล้ว ตามพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ. ๒๔๘๓ มาตรา ๑๑๕ บัญญัติว่า “การโอนทรัพย์สินหรือการกระทำใด ๆ ซึ่งลูกหนี้ได้กระทำหรือยินยอมให้กระทำในระหว่างระยะเวลา ๓ เดือนก่อนมีการขอให้ล้มละลายและภายหลังนั้น โดยมุ่งหมายให้เจ้าหนี้คนหนึ่งคนใดได้เปรียบแก่เจ้าหนี้อื่น ถ้าเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีคำขอโดยทำเป็นคำร้อง ศาลมีอำนาจสั่งให้เพิกถอนการโอนหรือการกระทำนั้นได้” เห็นว่าการขอให้เพิกถอนการโอนทรัพย์สินหรือการกระทำใด ๆ ตามบทบัญญัติดังกล่าว ให้พิจารณาถึงความมุ่งหมายของลูกหนี้ว่าจะให้เจ้าหนี้คนใดได้เปรียบแก่เจ้าหนี้อื่นในระหว่างระยะเวลา ๓ เดือนก่อนมีการขอให้ล้มละลายและภายหลังนั้นรือไม่เท่านั้น ปรากฏตามหนังสือสัญญาค้ำประกันเบิกเงินเกินบัญชีเอกสารหมาย ป.๒ ข้อ ๑ ว่า “เนื่องในการที่ธนาคารได้ยอมให้ห้างหุ้นส่วนจำกัดโรงไสไม้เหรียญทองโดยนางสาวนงลักษณ์ หวังรัตนพงษ์ บัญชีกระแสรายวันเลขที่ ๕๓๖ ซึ่งต่อไปในสัญญานี้จะเรียกว่า “ผู้เบิกเงินเกินบัญชี” เบิกเงินจากธนาคารตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชี ลงวันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๒๐ เป็นจำนวนเงิน ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท ผู้ค้ำประกันทราบข้อความในสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีดังกล่าวโดยตลอดแล้ว ผู้ค้ำประกันสมัครใจยอมเข้าค้ำประกันการชำระหนี้ตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีที่กล่าวแล้วตลอดจนดอกเบี้ย และตามหนังสือสัญญายินยอมการหักบัญชีเงินฝากประจำชำระหนี้ระหว่างลูกหนี้ที่ ๒ และธนาคารผู้คัดค้าน ลงวันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๒๐ ตามเอกสารหมาย ป.๓ มีว่า ข้อ๑ “ตามที่ห้างหุ้นส่วนจำกัดโรงไสไม้เหรียญทองโดยนางสาวนงลักษณ์ หวังรัตนพงษ์ ได้เบิกเงินเกินบัญชีจากธนาคารเป็นวงเงิน ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท ตามสัญญาลงวันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๒๐นั้น” ข้อ ๒ มีว่า “เพื่อเป็นหลักประกันการชำระหนี้ของห้างหุ้นส่วนจำกัดโรงไสไม้เหรียญทองตามสัญญาดังกล่าวในข้อ ๑ ข้าพเจ้าเจ้าของบัญชีเงินฝากประจำประเภท ๒ อยู่กับธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด สาขาดาวคะนอง ตามบัญชีเลขที่ ๑๒๔๓ ตกลงยันยอมมอบเงินฝากของข้าพเจ้าดังกล่าว พร้อมหลักฐานการฝากเงินเป็นสมุดคู่ฝากจำนวนเงิน ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท ไว้เป็นหลักประกันต่อธนาคารนับแต่วันทำสัญญานี้เป็นต้นไป” ข้อ ๓ มีว่า “ถ้าห้างหุ้นส่วนจำกัดโรงไสไม้เหรียญทองผู้เบิกเงินเกินบัญชีดังกล่าวในข้อ ๑ ผิดนัดไม่ชำระหนี้ตามสัญญาที่กล่าวแล้วไม่ว่าด้วยเหตุใด ๆ ก็ดี หรือมีกรณีอื่นใดอันจะกระทำให้ธนาคารไม่ได้รับชำระหนี้ตามสัญญาดังกล่าวแล้วเต็มจำนวนก็ดี ข้าพเจ้ายินยอมให้ธนาคารหักเงินจากบัญชีเงินฝากของข้าพเจ้าดังกล่าวชำระหนี้ดังกล่าวในข้อ ๑ และอุปกรณ์ได้ครบถ้วนทันที โดยไม่ต้องบอกกล่าวให้ข้าพเจ้าทราบก่อน ข้าพเจ้ารับรองว่าข้าพเจ้าจะไม่คัดค้านหรือโต้แย้งหรืออ้างสิทธิเรียกร้องเอากับธนาคารแต่ประการใดทั้งสิ้น” ข้อ ๔ มีว่า “ข้าพเจ้าตกลงยินยอมว่า ตราบใดที่ธนาคารยังไม่ได้รับชำระหนี้ตามข้อ ๑ ครบถ้วน ตราบนั้นข้าพเจ้าจะไม่ถอนเงินฝากประจำของข้าพเจ้าดังกล่าวเป็นอันขาด และจะไม่กระทำการใด ๆ อันเป็นการเสื่อมสิทธิในหลักประกันดังกล่าวเป็นอันขาด หากมีการกระทำดังกล่าวเกิดขึ้นก็ให้ถือว่าเป็นโมฆะ ไม่มีผลแก่หลักประกันดังกล่าวแต่อย่างใด” ดังนั้นการที่ธนาคารผู้คัดค้านจะใช้สิทธิโอนเงินฝากประจำบัญชีเลขที่ ๑๒๔๓ ของลูกหนี้ที่ ๒ ไปเข้าบัญชีกระแสรายวันเลขที่ ๕๓๖ ของลูกหนี้ที่ ๑ เมื่อวันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๒๒ เป็นการชำระหนี้ที่ลูกหนี้ที่ ๑ เป็นหนี้เบิกเงินเกินบัญชีธนาคารผู้คัดค้านเพื่อหักหนี้นั้น จึงเกิดจากหนังสือสัญญายินยอมการหักบัญชีเงินฝากประจำชำหระหนี้ระหว่างลูกหนี้ที่ ๒ กับธนาคารผู้คัดค้านลงวันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๒๐ ข้อตกลงนี้ได้ทำขึ้นก่อนมีการขอให้ลูกหนี้ที่ ๒ ล้มละลายเมื่อวันที่ ๓๐ ตุลาคม ๒๕๒๒ เป็นเวลาถึง ๑ ปี ๑๑ เดือนหากลูกหนี้ที่ ๒ ไม่ทำหนังสือค้ำประกันตกลงยินยอมให้ธนาคารผู้คัดค้านหักบัญชีเงินฝากประจำของลูกหนี้ที่ ๒ ชำระหนี้ของลูกหนี้ที่ ๑ ที่มีต่อธนาคารผู้คัดค้านแล้วก็เป็นที่แน่นอนว่าธนาคารผู้คัดค้านคงจะไม่ให้ห้างหุ้นส่วนจำกัดลูกหนี้ที่ ๑ โดยลูกหนี้ที่ ๒ หุ้นส่วนผู้จัดการกู้เบิกเงินเกินบัญชีในวงเงิน ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท ซึ่งทำในวันเดียวกันนั้น เมื่อธนาคารผู้คัดค้านได้โอนเงินฝากประจำของลูกหนี้ที่ ๒ ตามบัญชีเลขที่ ๑๒๔๓ เข้าบัญชีเลขที่ ๕๓๖ ของลูกหนี้ที่ ๑ เพื่อชำระหนี้ที่ลูกหนี้ที่ ๑ ค้างชำระอยู่ก่อนที่จะมีการขอให้ลูกหนี้ทั้ง ๒ ล้มละลายก็ได้มีการโอนเงินฝากประจำของลูกหนี้ที่ ๒ เข้าบัญชีเงินฝากประจำของลูกหนี้ที่ ๑ ก่อนที่จะมีการขอให้ลูกหนี้ทั้ง ๒ ล้มละลาย นอกจากนั้นธนาคารผู้คัดค้านย่อมมีฐานะเป็นเจ้าหนี้ของจำเลยที่ ๒ ในมูลหนี้ค้ำประกัน และเป็นลูกหนี้ของจำเลยที่ ๒ ในมูลหนี้เงินฝากประจำที่ธนาคารรับฝากไว้ แม้ว่าจะไม่มีข้อตกลงดังกล่าวธนาคารผู้คัดค้านก็มีสิทธิที่จะหักลบกลบหนี้ระหว่างหนี้ตามสัญญาค้ำประกันกับมูลหนี้เงินฝากประจำนั้นได้ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย มาตรา ๑๐๒ ซึ่งบัญญัติว่า “ถ้าเจ้าหนี้ซึ่งมีสิทธิขอรับชำระหนี้เป็นหนี้ลูกหนี้ในเวลาที่มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ถึงแม้ว่ามูลหนี้ทั้งสองฝ่ายจะไม่มีวัตถุเป็นอย่าเงดียวกันก็ดี หรืออยู่ในเงื่อนไขหรือเงื่อนเวลาก็ดี ก็อาจหักลบกลบหนี้กันได้ เว้นแต่เจ้าหนี้ได้สิทธิเรียกร้องต่อลูกหนี้ภายหลังที่มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์แล้ว” อีกประการหนึ่งตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. ๒๔๘๓ มาตรา ๑๑๕ ใช้คำว่าลูกหนี้ได้กระทำหรือยินยอมให้กระทำมุ่งถึงกิริยาที่ยินยอม มิได้ใช้คำว่าผู้อื่นทำด้วยความยินยอมของลูกหนี้ดังนี้จึงถือไม่ได้ว่าลูกหนี้ที่ ๒ ได้ระทำหรือยินยอมให้ธนาคารผู้คัดค้านกระทำการโอนบัญชีและหักหนี้เมื่อวันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๒๒ ในระหว่างระยะเวลาสามเดือนก่อนมีการขอให้ล้มละลาย โดยมุ่งหมายให้ธนาคารผู้คัดค้านได้เปรียบแก่เจ้าหนี้อื่น เพราะเป็นเหตุที่เกิดขึ้นตกลงระหว่างลูกหนี้ที่ ๒ กับธนาคารผู้คัดค้านที่ได้ทำขึ้นเมื่อวันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๒๐ ที่ลูกหนี้ที่ ๒ ยินยอมให้ธนาคารผู้คัดค้านหักเงินจากบัญชีของลูกหนี้ที่ ๒ ใช้หนี้ที่ลูกหนี้ที่ ๑ มีต่อธนาคารผู้คัดค้านโดยที่ธนาคารผู้คัดค้านสามารถทำได้ฝ่ายเดียว โดยลูกหนี้ที่ ๒ จะไม่คัดค้านหรือโต้แย้ง ไม่ต้องให้ความยินยอมอีก และลูกหนี้ที่ ๒ ก็จะถอนข้อตกลงดังกล่าวไม่ได้
พิพากษายืน