คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2445/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 2 หุ้นส่วนผู้จัดการห้างฯ จำเลยที่ 1 ถึง แก่กรรมห้างฯ จำเลยที่ 1 ต้อง เลิกกันและจัดให้มีการชำระบัญชี ว.หุ้นส่วนจำกัดความรับผิดห้างฯ จำเลยที่ 1 ไม่มีอำนาจแต่ง ทนายสู้ คดีแทนห้างฯ จำเลยที่ 1 กระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบตั้งแต่ ว. แต่งตั้ง ทนายสู้ คดีแทนจำเลยที่ 1 ต้อง เพิกถอนเสีย เพราะเป็นอำนาจของผู้ชำระบัญชี การที่จะอ้างเหตุฉุกเฉิน ตาม ป.พ.พ.มาตรา 802 ต้อง เป็นตัวแทนกันมาก่อน.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลประเภทห้างหุ้นส่วนจำกัดโดยมีจำเลยที่ 2 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ ส่วนจำเลยที่ 3 เคยเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 1 ได้ออกจากการเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการก่อนฟ้องคดีนี้ยังไม่เกิน 2 ปี เมื่อประมาณเดือนธันวาคม 2526 ถึงเดือนมีนาคม 2528 จำเลยที่ 1 ได้สั่งซื้อและรับสินค้าไปจากโจทก์หลายคราว แต่จำเลยที่ 1 ผิดนัดไม่ชำระหนี้ค่าสินค้าให้แก่โจทก์รวมทั้งดอกเบี้ยเป็นเงิน 17,234,499.53 บาท จำเลยที่ 2 ที่ 3 จึงต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 เป็นส่วนตัวชดใช้ให้แก่โจทก์ หนี้ของจำเลยทั้งสามเป็นหนี้ที่มีจำนวนแน่นอนถึงกำหนดชำระแล้ว และมีจำนวนเกินกว่า 100,000 บาท จำเลยทั้งสามมีหนี้สินล้นพ้นตัว ขอให้ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยทั้งสามเด็ดขาด และมีคำพิพากษาให้จำเลยทั้งสามล้มละลายต่อไป
จำเลยที่ 1 โดยนางวราภรณ์ แซ่ซื้อ หุ้นส่วน และจำเลยที่ 3ยื่นคำให้การว่า จำนวนหนี้ตามฟ้องเป็นหนี้ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายและมีจำนวนยังไม่แน่นอน หนี้ตามฟ้องขาดอายุความ จำเลยยังคงประกอบธุรกิจอยู่ในสถานการค้าตามปกติ จำเลยไม่เคยแจ้งว่าไม่สามารถชำระหนี้ให้แก่โจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ไม่ยื่นคำให้การ
ระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น ทนายจำเลยที่ 1และที่ 3 ยื่นคำร้องว่านางวราภรณ์ แซ่ซื้อ แจ้งว่าจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 1 ได้ถึงแก่กรรม นางวราภรณ์ผู้เป็นหุ้นส่วนคนหนึ่งในห้างฯ จำเลยที่ 1 จำเป็นต้องลงลายมือชื่อพร้อมประทับตราห้างฯ จำเลยที่ 1 แทนจำเลยที่ 2 เพื่อแต่งตั้งทนายควาเข้าแก้ต่างในคดีนี้ ปรากฏตามใบแต่งทนาย ซึ่งได้ยื่นไว้พร้อมกับคำให้การเมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2530 ศาลชั้นต้นจึงสั่งจำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 2เสียจากสารบบความ และต่อมาในวันที่ 9 พฤษภาคม2531 ซึ่งเป็นวันนัดสืบพยานโจทก์ทนายจำเลยที่ 3 แถลงว่านางวราภรณ์ หุ้นส่วนจำกัดความรับผิดของจำเลยที่ 1 ทราบเรื่องการดำเนินคดีนี้แล้ว แต่ยืนยันว่าจะไม่ตั้งผู้ชำระบัญชีจำเลยที่ 1ขอให้ศาลดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป ศาลชั้นต้นพิเคราะห์แล้วเห็นว่า เมื่อจำเลยที่ 1 ไม่ตั้งผู้ชำระบัญชีเข้ามาดำเนินคดีนางวราภรณ์ไม่มีอำนาจแต่งทนายเข้ามาดำเนินคดีแทนจำเลยที่ 1จึงมีคำสั่งว่าจำเลยที่ 1 ขาดนัดพิจารณา ให้ดำเนินกระบวนพิจารณาสำหรับจำเลยที่ 1 ไปฝ่ายเดียว และให้เพิกถอนการดำเนินกระบวนพิจารณาในส่วนที่นางวราภรณ์แต่งทนายเข้ามาดำเนินคดีแทนจำเลยที่ 1 โดยถือว่าเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาผิดระเบียบเสียทั้งหมด
จำเลยที่ 1 โดยนางวราภรณ์ แซ่ซื้อ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 โดยนางวราภรณ์ แซ่ซื้อ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงได้ความตามรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ 17 มีนาคม 2531 ว่า นายธานินทร์ วงประเสริฐจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลยที่ 1 ได้ถึงแก่กรรมไปก่อนโจทก์ฟ้องคดีนี้แล้ว ฉะนั้น ห้างหุ้นส่วนจำกัดส.เจริญยนต์ตากสิน จำเลยที่ 1 ซึ่งมีผู้เป็นหุ้นส่วนอยู่สองคนคือจำเลยที่ 2 และนางวราภรณ์ แซ่ซื้อ จึงต้องเลิกกัน เพราะสภาพความเป็นหุ้นส่วนย่อมไม่มีอยู่ต่อไปอีก หากจะดำเนินกิจการของห้างจำเลยที่ 1 อยู่ต่อไป ก็เท่ากับดำเนินการในกิจการส่วนตัวของนางวราภรณ์ แซ่ซื้อ เท่านั้น เมื่อห้างฯ จำเลยที่ 1 เลิกกันต้องจัดให้มีการชำระบัญชีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1247ถึง 1273 นางวราภรณ์ แซ่ซื้อ จึงไม่มีอำนาจใด ๆ จะตั้งตนเองเป็นผู้แทนของจำเลยที่ 1 และแต่งทนายเข้ามาสู่คดีแทนจำเลยที่ 1ได้ เพราะเป็นอำนาจของผู้ชำระบัญชี ตามมาตรา 1259 (1) การที่ศาลชั้นต้นเพิกถอนกระบวนพิจารณาเป็นแต่นางวราภรณ์ แซ่ซื้อแต่งทนายเข้ามาสู้คดีแทนจำเลยที่ 1 เสียทั้งหมดเพราะถือว่าเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบนั้น ชอบด้วยกฎหมายแล้วส่วนที่นางวราภรณ์ แซ่ซื้อ อ้างประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 802ว่าตนมีอำนาจดำเนินคดีในฐานะผู้แทนของจำเลยที่ 1นั้น เห็นว่าการจะอ้างมาตราดังกล่าวนี้จะต้องเป็นตัวแทนของจำเลยที่ 1 มาก่อนจึงจะมีอำนาจดำเนินการแทนจำเลยที่ 1ในเหตุฉุกเฉินได้ เมื่อนางวราภรณ์ แซ่ซื้อ ไม่ได้เป็นตัวแทนของจำเลยที่ 1 จะเข้าดำเนินคดีแทนจำเลยที่ 1 เพราะเหตุฉุกเฉินไม่ได้
พิพากษายืน.

Share