คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2443/2543

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยต้องการไปปรับความเข้าใจกับผู้เสียหาย และทวงอาวุธปืนที่บิดาผู้เสียหายแย่งไปคืน ส่วนการที่จำเลยแสดงกริยาอาการไม่สุภาพกระโดดข้ามรั้วบ้านไม่พ้น จนทำให้รั้วบ้านไม้ไผ่หักไป 2 ลำ และเตะประตูบ้านและยังไม่ยอมกลับออกจากบ้านของผู้เสียหายทันทีหลังจากที่ภริยาผู้เสียหายขอให้จำเลยกลับออกจากบ้านไป เป็นเพราะจำเลยยังมีอาการเมาสุราอยู่ และไม่พอใจที่ผู้เสียหายไม่ยอมออกมาพบกรณียังถือไม่ได้ว่าจำเลยเข้าไปในบ้านของผู้เสียหายโดยไม่มีเหตุอันสมควรหรือไม่ยอมออกจากบ้านเมื่อผู้มีสิทธิที่จะห้ามมิให้เข้าไปได้ไล่ให้ออกตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 364

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยมีอาวุธปืนพกลูกซอง ชนิดประกอบขึ้นเองขนาด 12 ซึ่งเป็นอาวุธปืนที่ไม่มีเครื่องหมายทะเบียนของเจ้าพนักงานประทับไว้จำนวน 1 กระบอก และมีกระสุนปืนลูกซองขนาด 12 จำนวน1 นัดไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาตจากนายทะเบียนท้องที่และไม่มีเหตุได้รับยกเว้นโทษตามกฎหมายและพาอาวุธปืนดังกล่าวติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน ทางสาธารณะ โดยไม่มีเหตุอันสมควรและไม่ได้รับใบอนุญาตให้มีอาวุธปืนติดตัวและมิใช่กรณีที่ต้องมีติดตัวเมื่อมีเหตุจำเป็นและเร่งด่วนตามสมควรแก่พฤติการณ์ ทั้งไม่มีเหตุได้รับยกเว้นโทษตามกฎหมาย นอกจากนี้ยังใช้อาวุธปืนดังกล่าวจ้องเล็งจะยิงนายสถิตย์ แสนคำ ผู้เสียหาย โดยเจตนาฆ่าผู้เสียหายจำเลยลงมือกระทำความผิดไปไม่ตลอด เพราะมีผู้เข้าขัดขวางและแย่งอาวุธปืนไปจากจำเลย จำเลยจึงไม่อาจยิงผู้เสียหายได้ แต่ทำให้ผู้เสียหายเกิดความกลัวหรือตกใจโดยการขู่เข็ญ หลังจากนั้นจำเลยเข้าไปบริเวณบ้านพักอันเป็นเคหสถานที่อยู่อาศัยของผู้เสียหายและนางบุญมี แสนคำ และไม่ยอมออกไปจากเคหสถานเมื่อผู้เสียหายซึ่งมีสิทธิจะห้ามมิให้เข้าไปได้ไล่ให้ออก เจ้าพนักงานยึดได้อาวุธปืนและกระสุนปืนที่จำเลยมีไว้และพาติดตัวไปดังกล่าวเป็นของกลางขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 4,7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 80, 91,288, 364, 365, 371, 392 และริบอาวุธปืนของกลาง

จำเลยให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 365(3) ประกอบด้วยมาตรา 364, 371, 392 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืนพ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 72 วรรคหนึ่ง, 72 ทวิ วรรคสองการกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรม ให้เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานบุกรุกเคหสถานในเวลากลางคืน จำคุก 5 เดือน ฐานทำให้ผู้อื่นเกิดความกลัวโดยการขู่เข็ญจำคุก 1 เดือน ฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต จำคุก 1 ปี ฐานพาอาวุธปืนไปในทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาตและไม่มีเหตุอันสมควร ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 90 จำคุก 6 เดือน รวมจำคุก 2 ปี ริบอาวุธปืนของกลาง ยกฟ้องข้อหาพยายามฆ่าผู้อื่น

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ในความผิดฐานบุกรุก นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง ผู้เสียหาย จำเลย นายประเสริฐ และนายทองเปลวซึ่งเป็นเพื่อนกันได้ร่วมวงดื่มสุราด้วยกัน ต่อมาผู้เสียหายกับนายประเสริฐจะกลับบ้าน ผู้เสียหายกับนายทองเปลวมีเรื่องจะวิวาทกันหลังจากนั้นผู้เสียหายกับนายประเสริฐก็พากันเดินกลับบ้าน จำเลยกับนายทองเปลวเดินตามไปทันที่ริมห้วย มีการพูดจาโต้เถียงกันผู้เสียหายหาว่าจำเลยจะใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหาย แต่นายจันทร์บิดาของผู้เสียหายเข้าห้ามและยึดอาวุธปืนไว้ และบอกให้ผู้เสียหายกลับบ้านจำเลยได้ตามไปหาผู้เสียหายที่บ้าน

ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ประการเดียวว่า จำเลยบุกรุกเข้าไปในบ้านของผู้เสียหาย และนางบุญมี แสนคำ มารดาของผู้เสียหายหรือไม่ เห็นว่า แม้โจทก์จะมีผู้เสียหายกับนางบุญมีเบิกความว่าเมื่อผู้เสียหายกลับถึงบ้านได้เล่าเรื่องที่วิวาทกับจำเลยให้นางบุญมีฟังแล้วได้ยินเสียงคนเตะประตูบ้าน 3 ครั้ง นางบุญมีเปิดประตูออกไปพบจำเลยยืนอยู่ จำเลยเรียกผู้เสียหายให้ออกมาพูดกัน นางบุญมีบอกจำเลยว่ามีเรื่องอะไรให้มาพูดกันวันพรุ่งนี้ จำเลยไม่ยอมกลับ และพูดว่าถ้าพบผู้เสียหายจะฆ่า จากนั้นนายประเสริฐกับนายทองเปลวเข้ามาจูงจำเลยออกไปนอกบริเวณบ้าน และนายสมบุญ ใจน้อย พาจำเลยกลับบ้านแต่ภายหลังจากที่นายจันทร์แย่งอาวุธปืนจากจำเลยได้แล้วนายทองเปลวซึ่งมีเรื่องวิวาทกับผู้เสียหายก่อนได้พาผู้เสียหายกลับบ้านเพื่อปรับความเข้าใจกัน ส่วนนายประเสริฐก็ได้พูดจาปรับความเข้าใจกับจำเลย และเมื่อนายทองเปลวส่งผู้เสียหายที่บ้านแล้วกลับมาพบจำเลยกับนายประเสริฐ ทั้งสามคนก็พากันไปที่บ้านของผู้เสียหายอีกซึ่งน่าจะเป็นเพราะว่าจำเลยต้องการไปปรับความเข้าใจกับผู้เสียหายและทวงอาวุธปืนที่นายจันทร์แย่งเอาไปคืนมากกว่า ส่วนที่จำเลยแสดงกริยาอาการไม่สุภาพกระโดดข้ามรั้วบ้านไม่พ้นจนทำให้รั้วบ้านไม้ไผ่หักไป 2 ลำ และเตะประตูบ้าน และยังไม่ยอมกลับออกจากบ้านของผู้เสียหายทันทีหลังจากที่นางบุญมีขอให้จำเลยกลับออกจากบ้านไปก็น่าจะเป็นเพราะจำเลยยังมีอาการเมาสุราอยู่และไม่พอใจที่ผู้เสียหายไม่ยอมออกมาพบพฤติการณ์ของจำเลยดังกล่าวจึงยังถือไม่ได้ว่าจำเลยเข้าไปในบ้านของผู้เสียหายโดยไม่มีเหตุอันสมควรหรือไม่ยอมออกจากบ้าน เมื่อผู้มีสิทธิที่จะห้ามมิให้เข้าไปได้ไล่ให้ออกดังที่โจทก์ฟ้องที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายกฟ้องโจทก์ในข้อหาบุกรุกด้วยนั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย

พิพากษายืน

Share