คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 244/2538

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยพาผู้เสียหายนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์อ้างว่าจะพาไปส่งบ้านแต่จำเลยกลับพาผู้เสียหายไปข่มขืนกระทำชำเราถือว่าความผิดฐานพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารสำเร็จนับแต่จำเลยเริ่มพรากผู้เสียหายไปการที่จำเลยข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายอีกจึงเป็นความผิดอีกกรรมหนึ่ง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 318, 276, 91
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 วรรคแรก 318วรรคสามให้เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ขณะกระทำผิดจำเลยเป็นนักเรียนอายุ 18 ปี เห็นสมควรลดมาตราส่วนโทษกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 76 ลงโทษข้อหาข่มขืนกระทำชำเราจำคุก 2 ปี ข้อหาพรากผู้เยาว์จำคุก 2 ปีรวมจำคุก 4 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงเป็นที่ยุติตามที่ศาลล่างทั้งสองได้วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวนฟังได้ว่า ในวันเกิดเหตุจำเลยพาผู้เสียหายซึ่งมีอายุ 17 ปีนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์อ้างว่า จะพาไปส่งบ้านแต่จำเลยกลับพาผู้เสียหายไปที่เกิดเหตุซึ่งเป็นบ้านเช่าอยู่ใกล้วัดพระนอน แล้วจำเลยได้ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายจนสำเร็จความใคร่ มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า การกระทำของจำเลยในความผิดฐานพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารและความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราเป็นความผิดกรรมเดียวเพราะมีเจตนาเดียวกันโดยจำเลยมีเจตนาที่จะข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย จึงต้องใช้อุบายหลอกลวงผู้เสียหายให้ไปด้วยกันกับจำเลยหรือไม่ เห็นว่า การที่จำเลยมีเจตนาพรากผู้เสียหายไปเพื่อการอนาจาร ถือได้ว่าความผิดฐานพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารสำเร็จนับแต่จำเลยเริ่มพรากผู้เสียหายไปโดยมีเจตนาดังกล่าวแล้ว การที่จำเลยข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายหลังจากนั้นจึงเป็นความผิดอีกกรรมหนึ่งซึ่งต่างกรรมต่างวาระกับความผิดฐานพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจาร การกระทำของจำเลยจึงเป็นหลายกรรมต่างกันเป็น 2 กระทง ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้วฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share