แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทฟ้องขอไห้จำเลยไช้ราคาที่ดินที่ค้างชำระและอ้างว่าจำเลยทำหนังสือสแดงการรับไช้เงินไว้ไห้แต่หนังสือนั้นกลับมีข้อความว่าจำเลยได้รับเงินจากโจทดังนี้ โจทต้องแพ้คดี
จำเลยคน 1 แถลงรับตามฟ้องของโจท แต่จำเลยอื่นไม่ได้ยอมรับตามนั้นด้วยดังนี้ คำแถลงรับนั้นไม่ผูกพันจำเลยอื่น
ย่อยาว
โจทฟ้องขอไห้จำเลยไช้เงินค่าที่ดินที่ค้างชำระ ๔๕๐๐ บาทโดยอ้างว่าจำเลยที่ ๓ ไนถานะตัวแทนได้ทำหนังสือสแดงการรับไช้เงินไห้โจทไว้เปนหลักถาน
จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ต่อสู้หลายหย่างและว่าเอกสารรายนี้เปนเอกสารสแดงว่าได้รับเงิน ๔๕๐๐ บาทจากโจท ไม่ไช่สแดงการรับรองไช้เงิน ส่วนจำเลยที่ ๓ ต่อสู้ว่าได้จ่ายเงินไห้โจทเส็ดแล้ว
คู่ความส่งเอกสารและสาลชั้นต้นได้สอบถามคู่ความแล้วไห้งดสืบพยาน แล้ววินิฉัยว่า เอกสารรายนี้มีข้อความว่าจำเลยที่ ๓ ไนถานะที่ได้รับมอบอำนาดของหลวงประเทสจินารักส์ (เวลานี้ตายแล้ว จำเลยที่ ๑ เปนบุตรจำเลยที่ ๒ เปนภรรยาและเปนผู้รับมรดก) ได้รับเงินจากโจทค่าค้างเงินไนการทำหนังสือซื้อขายที่ ฯลฯ เปนเงิน ๔๕๐๐ บาทไว้ถูกต้องแล้ว จำเลยที่ ๓ แถลงว่าได้ตกลงซื้อที่กับโจทต่อมาโจทเกี่ยงขึ้นราคาจึงตกลงเพิ่มไห้โจทอีก ๔๕๐๐ บาท จำเลยไม่ได้เถียงว่าตามตกลงนี้ไม่สมบูรน์ จึงพิพากสาไห้จำเลยทั้ง ๓ ร่วมไช้เงินแก่โจท
จำเลยที่ ๑-๒ อุธรน์ สาลอุธรน์เห็นว่าเอกสารรายนี้มีข้อความชัดเปนไบรับเงิน หาไช่หนังสือรับไช้เงินไม่ โจทจะสืบแก้ว่าเปนหนังสือรับไช้เงินไม่ได้ ขัดต่อวิธีพิจารนาความอาญามาตรา ๙๔ จึงไห้ยกฟ้องสำหรับจำเลยที่๑-๒
โจทดีกาสาลดีกาเห็นว่าคดีนี้ไม่มีปัญหาถึงการนำสืบดังสาลอุธรน์กล่าว เพราะโจทไม่เคยตั้งประเด็นขอสืบไว้เลยว่า เอกสารนั้นแม้จะเปนไบเส็ดรับเงินแต่ความจิงเปนหนังสือรับจะไช้เงินไห้ (ดูวิธีพิจารนาความแพ่งมาตรา ๘๗ ประกอบกับมาตรา ๘๔) โจทอ้างไนฟ้องเพียงว่าเปนหนังสือบรับจะไช้เงิน จำเลยต่อสู้ว่าเปนไบเส็ดรับเงินไม่ไช่หนังสือสแดงการรับรองจะไช้เงิน ความก็ปรากตว่าจำเลยที่ ๓ ได้รับเงินไปจาโจทเช่นนี้ โจทก็ไม่มีทางชนะคดี จำเลยแถลงหย่างไดไม่สำคัน เพราะไม่สามาถมัดจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ไนเมื่อจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ไม่ได้ ยอมรับตามนั้น จึงพิพากสายืนตามสาลอุธรน์