คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2437/2528

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ที่ดินมีโฉนดมีชื่อจำเลยและผู้ร้องเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ ร่วมกัน ผู้ร้องจะร้องขัดทรัพย์เพื่อให้ศาลปล่อยทรัพย์ที่ยึดหาได้ไม่ผู้ร้องซึ่งอยู่ในฐานะเป็นเจ้าของรวมใน โฉนดที่ดินที่เจ้าพนักงานบังคับคดียึดไว้ชอบที่จะร้องขอ ให้ศาลแบ่งส่วนหรือกันส่วนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 287 หากข้อเท็จจริงได้ความว่า ที่ดินมีโฉนดที่เจ้าพนักงานบังคับคดียึดไว้ผู้ร้องเป็นเจ้าของรวมอยู่1ใน 3 ผู้ร้อง ครอบครองเป็นส่วนสัดและปลูกบ้านอยู่อาศัยมา 37 ปีแล้วจำเลยและผู้ร้องได้ตกลงแบ่งแยกโฉนดออกเป็นส่วนของผู้ร้อง และส่วนของจำเลยทั้งได้แบ่งส่วนที่จำเลยและผู้ร้องถือ กรรมสิทธิ์ร่วมกันเพื่อใช้เป็นทางออกสู่ถนน เจ้าพนักงานที่ดินได้ดำเนินการแบ่งแยกโฉนดเสร็จแล้วเหลือเพียง แต่รอคำสั่งให้ไปจดทะเบียนรับโฉนดที่แบ่งแยกเท่านั้นดังนี้ เห็นได้ว่าที่ดินดังกล่าวได้มีการตกลงแยกกรรมสิทธิ์ ส่วนของเจ้าของรวมเป็นที่แน่นอนแล้วเจ้าพนักงานบังคับคดี ย่อมไม่มีอำนาจที่จะขายส่วนที่ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้อง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชำระเงินค่าที่ดินตามสัญญาซื้อขายที่ดินมีโฉนด ต่อมาจำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความชำระเงินแก่โจทก์เป็นงวด ๆ แต่ก็ผิดนัดศาลจึงออกหมายบังคับคดียึดที่ดินของจำเลยตามคำขอของโจทก์
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องถือกรรมสิทธิ์ที่ดินร่วมกับจำเลยแปลงซึ่งถูกยึด 54 ตารางวา ผู้ร้องได้ครอบครองที่ดินส่วนของผู้ร้องและปลูกบ้านอยู่อาศัยเป็นส่วนสัดมาเป็นเวลากว่า 37 ปีแล้ว จำเลยและผู้ร้องได้ตกลงแบ่งแยกโฉนดเป็นส่วนที่ผู้ร้องและส่วนของจำเลย เจ้าพนักงานได้ดำเนินการแบ่งแยกส่วนของผู้ร้องและจำเลยแล้ว เพียงแต่รอคำสั่งให้ไปจดทะเบียนขอรับโฉนดที่แบ่งแยกไว้เท่านั้น ขอให้ศาลมีคำสั่งให้แบ่งส่วนหรือกันส่วนของผู้ร้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 287 เป็นเนื้อที่ 54 ตารางวา และจำหน่ายเฉพาะส่วนที่เป็นของจำเลย
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งคำร้องของผู้ร้องว่า “ตามคำร้องเป็นกรณีที่ผู้ร้องควรร้องขัดทรัพย์เข้ามา ให้ยกคำร้อง ค่าธรรมเนียมเป็นพับ”
ผู้ร้องอุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า สำหรับปัญหาที่ว่าผู้ร้องชอบที่จะร้องขัดทรัพย์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 288 หรือร้องขอให้ศาลแบ่งส่วนหรือกันส่วนตามมาตรา 287 นั้น เห็นว่า การร้องขัดทรัพย์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 288 นั้น จะต้องเป็นกรณีที่ผู้ร้องอ้างว่าจำเลยไม่ใช่เจ้าของทรัพย์สินที่เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ยึดไว้ แต่จากข้อเท็จจริงที่บรรยายในฟ้องและคำร้องของผู้ร้องประกอบกับสารบัญจดทะเบียนท้ายสำเนาโฉนดที่ดินเลขที่ 320ท้ายคำร้อง ปรากฏว่าเมื่อวันที่ 20 เมษายน 2524 หม่อมหลวงสุรพันธ์ โจทก์ที่ 1นายเฉียบ โจทก์ที่ 2 ได้โอนขายเฉพาะส่วนของตนให้แก่ร้อยตำรวจโทมนตรี จำเลยและในวันเดียวกันจำเลยได้จดทะเบียนให้โจทก์ทั้งสองมีบุริมสิทธิในที่ดินของจำเลยสำหรับจำนวนเงินที่ยังค้างชำระ โฉนดที่ดินเลขที่ 320 ดังกล่าวจึงมีชื่อจำเลยและผู้ร้องเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมกัน ดังนั้น ผู้ร้องจะร้องขัดทรัพย์โดยอาศัยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งเพื่อให้ศาลปล่อยทรัพย์ที่ยึดตามที่ศาลล่างวินิจฉัยหาได้ไม่ ผู้ร้องซึ่งอยู่ในฐานะเป็นเจ้าของรวมในโฉนดที่ดินเลขที่ 320ที่เจ้าพนักงานบังคับคดีไว้ชอบที่จะร้องขอให้ศาลแบ่งส่วนหรือกันส่วนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 287
แต่ในการร้องขอกันส่วนหรือแบ่งส่วนของผู้ร้องนั้น ผู้ร้องจะขอให้กันหรือแบ่งที่ดินส่วนของผู้ร้องเนื้อที่ 54 ตารางวา ออกโดยให้เจ้าพนักงานบังคับคดีขายเฉพาะส่วนของจำเลยจะได้หรือไม่ เห็นว่า ตามคำร้องของผู้ร้องอ้างว่าที่ดินโฉนดเลขที่ 320 ซึ่งผู้ร้องเป็นเจ้าของรวมอยู่ 1 ใน 3 คิดเป็นเนื้อที่ 54 ตารางวานั้นเปป็นส่วนของผู้ร้องครอบครองเป็นส่วนสัดทางด้านทิศตะวันตกและทิศใต้บางส่วนโดยผู้ร้องปลูกบ้านพักอาศัยมา 37 ปีแล้ว และเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2525 จำเลยและผู้ร้องได้ตกลงแบ่งแยกโฉนดออกเป็นส่วนของผู้ร้องเนื้อที่ 54 ตารางวา ส่วนของจำเลย 103 ตารางวา ทั้งยังแบ่งส่วนที่จำเลยและผู้ร้องถือกรรมสิทธิ์ร่วมกัน 3 ตารางวาเพื่อใช้เป็นทางเข้าออกสู่ถนนวิสุทธิกษัตริย์ เจ้าพนักงานที่ดินได้ดำเนินการแบ่งแยกโฉนดเสร็จแล้วเหลือเพียงแต่รอคำสั่งให้ไปจดทะเบียนรับโฉนดที่แบ่งแยกเท่านั้นซึ่งถ้าหากข้อเท็จจริงได้ความตามที่ผู้ร้องกล่าวอ้างแล้ว ก็จะเห็นได้ว่าที่ดินโฉนดเลขที่ 302 ได้มีการตกลงแยกกรรมสิทธิ์ส่วนของเจ้าของรวมเป็นที่แน่นอนแล้วเจ้าพนักงานบังคับคดีก็ไม่มีอำนาจที่จะขายส่วนที่ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องเทียบตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 1212/2510
พิพากษายกคำสั่งของศาลชั้นต้นและคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งใหม่ตามรูปคดี

Share