แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ฟ้องฐานชิงทรัพย์ ไม่ปรากฏว่าพนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อหาใน+นี้ให้จำเลยทราบ ต้องถือว่ายังไม่มีการสอบสวนในความผิดนั้นพนักงานอัยยการจึงไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยในข้อหาข้อนี้ ศาลชั้นต้นลงโทษ 2 กะทงตามมาตรา 298,299,60 รวมกะทงลงโทษจำคุก 4 ปีศาลอุทธรณ์แก้ให้ลงโทษตามมาตรา 299,60 กะทงเดียว จำคุก 2 ปี ฎีกาในข้อเท็จจริงไม่ได้ใน+
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกระทำผิดต่างกรรมต่างวาระ กันคือ ก.ได้สมคบกันขู่เข็ญนายกุ่ย ๆ กลัวส่งเงินให้จำเลย ๒ บาท ข. อีกวันหนึ่งได้ขู่เข็ญจะทำร้ายเรียกเงินจากนายกุ่ยอีก นายกุ่ยไม่มีเงินจึงสัญญาจะให้ในวันรุ่งขึ้น ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าจำเลยมีความผิดฐานชิงทรัพย์จำเลยคนละ ๔ ปี เพิ่มโทษจำเลยที่ ๓ อีก ๑ ใน ๓ เป็น ๕ ปี ๔ เดือน
ศาลอุทธรณ์เห็นว่าข้อหาข้อ ก.ฐานชิงทรัพย์ไม่ปรากฏว่าเจ้าพนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อหานี้แก่จำเลย ต้องถือว่าพนักงานอัยยการจะยื่นฟ้องคดีก่อนสอบสวนไม่ได้ และคดีสำหรับจำเลยที่ ๓ มีเหตุควรสงสัย จึงพิพากษาแก้ว่าจำเลยที่ ๑-๒ มีความผิดตามมาตรา ๒๙๙,๖๐ วางโทษคนละ ๒ ปี ส่วนจำเลยที่ ๓ ไม่มีผิด ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ จำเลยต่างฎีกา ศาลฎีกาเห็นว่าข้อหาข้อ ก.ฐานชิงทรัพย์นั้นยังไม่มีการสอบสวนจำเลยจริง ฟ้องข้อนี้จึงตกไป ส่วนข้อ ข.ศาลล่างทั้ง ๒ พิพากษาต้องกันมา จำเลยที่๑-๒ จึงฎีกาในข้อเท็จจริงไม่ได้ สำหรับจำเลยที่ ๓ การที่เจ้าทุกข์ไม่กล้าชี้ตัวในวันแรกได้ความว่าเพราะกลัวอำนาจจำเลยจึงไม่ทำให้คดีโจทก์เสียไป ทั้งยังมีพะยานแน่นหนาฟังได้ว่าจำเลยได้ร่วมกระทำผิดด้วย จึงพิพากษาแก้ให้จำคุกจำเลยที่ ๓ สองปี นอกนี้คงยังบังคับตามศาลอุทธรณ์