คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2433/2531

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นว่าโจทก์หรือจำเลยมีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท การที่จำเลยนำสืบว่าที่พิพาทเป็นที่ดินราชพัสดุก็เพื่อแสดงว่าโจทก์ไม่มีสิทธิครอบครอง สิทธิครอบครองเป็นของจำเลย จำเลยชอบที่จะนำสืบได้ไม่เป็นการนำสืบนอกประเด็นหรือนอกคำให้การ
จำเลยอุทธรณ์เฉพาะข้อกฎหมายว่าโจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินโจทก์ เมื่อปรากฏว่าที่พิพาทไม่ใช่ที่ดินโจทก์ ศาลชั้นต้นยังพิพากษาขับไล่จำเลยจึงเป็นการเกินคำขอของโจทก์ ในการพิจารณาข้อกฎหมายว่าศาลชั้นต้นพิพากษาเกินคำขอของโจทก์หรือไม่ศาลอุทธรณ์ต้องฟังข้อเท็จจริงก่อนว่าที่พิพาทอยู่ในเขตที่ดินของโจทก์หรือไม่ หากที่พิพาทอยู่ในเขตที่ดินของโจทก์คำพิพากษาศาลชั้นต้นก็ไม่เกินคำขอ หากอยู่ในที่ดินแปลงอื่นของบุคคลอื่นคำพิพากษาศาลชั้นต้นก็เกินคำขอ ดังนั้น ที่ศาลอุทธรณ์ฟังว่าที่พิพาทเป็นที่ราชพัสดุคนละแปลงกับที่ดินโจทก์เพื่อที่จะได้วินิจฉัยว่าศาลชั้นต้นพิพากษาเกินคำขอหรือไม่ ก็อยู่ในขอบเขตที่จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ไม่ได้พิพากษาเกินอุทธรณ์แต่อย่างใด.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นเจ้าของที่ดิน 1 แปลง ตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 104 หมู่ที่ 3 ตำบลท่าข้าม อำเภอพุนพิน จังหวัดสุราษฎร์ธานี จำเลยขอเช่าที่ดินของโจทก์บางส่วนปลูกบ้านอยู่อาศัยและชำระค่าเช่าตลอดมา ต่อมาจำเลยไม่ชำระค่าเช่าและบุกรุกขุดร่องในที่ดินนอกเขตที่เช่าเข้าไปในที่ดินของโจทก์ตามแผนที่สังเขปท้ายฟ้อง หากให้เช่าหรือโจทก์เข้าทำประโยชน์จะได้รับผลตอบแทนเดือนละไม่ต่ำกว่า 500 บาท ขอศาลพิพากษาแสดงว่าที่ดินภายในวงเส้นสีแดงตามแผนที่สังเขปท้ายฟ้องเป็นของโจทก์ห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้องกับให้จำเลยรื้อเรือนออกไปและใช้ค่าเสียหายเดือนละ 500 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะรื้อเรือนและคืนที่ดินให้โจทก์
จำเลยให้การว่าจำเลยปลูกเรือนอยู่ในที่ดินรกร้างว่างเปล่าก่อนโจทก์จะได้ที่ดินมากว่า 10 ปี จำเลยไม่เคยเช่าหรือขออาศัยในที่ดินโจทก์ที่ดินที่จำเลยอาศัยอยู่นอกเขตที่ดินโจทก์และไม่เคยบุกรุกขุดร่องในที่ดินนอกเขตที่ดินที่ครอบครอง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าโจทก์มีสิทธิครอบครองที่พิพาท ห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้องให้จำเลยรื้อเรือนออกจากที่ดินและคืนที่พิพาทให้โจทก์ กับให้จำเลยใช้ค่าเสียหายเดือนละ 347 บาทนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะรื้อเรือนและคืนที่ดินแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์ศาลชั้นต้นรับอุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายว่าศาลชั้นต้นพิพากษาเกินคำขอหรือไม่ เพราะโจทก์ขอให้ขับไล่จำเลยออกจากที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของโจทก์ จำเลยต่อสู้ว่าไม่ใช่ที่ดินของโจทก์แต่เป็นที่หลวงคนละแปลงกับที่ดินโจทก์ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ขับไล่โดยไม่วินิจฉัยว่าที่พิพาทอยู่ในเขตที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของโจทก์หรือไม่
ศาลอุทธรณ์เชื่อว่าที่พิพาทเป็นที่ราชพัสดุและเป็นคนละแปลงกับที่ดินโจทก์ พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าโจทก์ฎีกาในข้อแรกว่าศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นว่าโจทก์หรือจำเลยมีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท ดังนั้นในชั้นพิจารณาจำเลยนำสืบว่าที่พิพาทเป็นที่ดินราชพัสดุ จึงเป็นการนำสืบนอกประเด็นนอกคำให้การนั้น เห็นว่า การที่จำเลยนำสืบว่าที่พิพาทเป็นที่ดินราชพัสดุ ก็เพื่อแสดงว่าโจทก์ไม่มีสิทธิครอบครอง สิทธิครอบครองเป็นของจำเลย จำเลยชอบที่จะนำสืบได้ไม่เป็นการนำสืบนอกประเด็นนอกคำให้การแต่อย่างไร ฎีกาข้อต่อไปของโจทก์ว่าอุทธรณ์ของจำเลยกล่าวอ้างเฉพาะข้อกฎหมายว่าศาลชั้นต้นพิพากษาเกินคำขอเพราะโจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินโจทก์ เมื่อปรากฏว่าที่พิพาทไม่ใช่ที่ดินโจทก์ศาลชั้นต้นยังพิพากษาขับไล่จำเลยจึงเป็นการเกินคำขอของโจทก์ แต่ศาลอุทธรณ์กลับฟังว่าที่พิพาทเป็นที่ราชพัสดุและเป็นคนละแปลงกับที่ดินโจทก์ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง จึงเป็นการพิพากษาเกินอุทธรณ์ของจำเลยนั้น เห็นว่าในการพิจารณาข้อกฎหมายว่า ศาลชั้นต้นพิพากษาเกินคำขอของโจทก์หรือไม่ ก็ต้องฟังข้อเท็จจริงก่อนว่าที่พิพาทอยู่ในเขตที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของโจทก์หรือไม่ หากที่พิพาทอยู่ในเขตที่ดินดังกล่าวของโจทก์คำพิพากษาศาลชั้นต้นก็ไม่เกินคำขอ หากอยู่ในที่ดินแปลงอื่นของบุคคลอื่น คำพิพากษาศาลชั้นต้นก็เกินคำขอ ดังนั้น ที่ศาลอุทธรณ์ฟังว่าที่พิพาทเป็นที่ราชพัสดุคนละแปลงกับที่ดินโจทก์เพื่อจะได้วินิจฉัยว่าศาลชั้นต้นพิพากษาเกินคำขอหรือไม่ ก็อยู่ในขอบเขตที่จำเลยอุทธรณ์ แม้ศาลอุทธรณ์จะใช้ถ้อยคำว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ก็เป็นที่เข้าใจได้ว่าหมายความว่าศาลชั้นต้นพิพากษาเกินคำขอตามที่จำเลยอุทธรณ์นั่นเอง ศาลอุทธรณ์ไม่ได้พิพากษาเกินอุทธรณ์แต่อย่างไร และคดีนี้ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่าที่พิพาทไม่อยู่ในเขตที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของโจทก์โจทก์ไม่มีสิทธิขับไล่จำเลยและเรียกค่าเสียหาย
พิพากษายืน.

Share