คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2433/2517

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คำฟ้องโจทก์ว่าจำเลยที่ 1 แจ้งความต่อพนักงานสอบสวนตามคำบอกเล่าของเด็กหญิง อ. บุตรสาวอายุ 8 ปี ว่าเด็กหญิง อ.ได้ถูกเด็กชายไม่ทราบชื่อซึ่งอยู่ในโรงเรียนเดียวกันข่มขืนกระทำชำเราโดยมิได้กล่าวยืนยันถึงตัวผู้ข่มขืนว่า เป็นเด็กชาย ศ. บุตรโจทก์และการที่จำเลยที่ 1 แจ้งข้อความถึงเรื่องที่เด็กหญิง อ. ชี้ตัวบุตรโจทก์ว่า เป็นผู้ข่มขืนกระทำชำเรานั้น ก็เป็นการเล่าข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการชี้ตัวผู้กระทำผิดเท่านั้น มิใช่จำเลยที่ 1 กล่าวยืนยันเองเมื่อคำฟ้องโจทก์มิได้กล่าวอ้างว่า ผู้ถูกข่มขืนมิได้เล่าข้อเท็จจริงเช่นนั้นแก่จำเลยที่ 1 หรือมิได้ชี้ตัวบุตรโจทก์ว่าเป็นผู้กระทำผิด คำฟ้องโจทก์ดังกล่าวจึงไม่อาจมีมูลเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 172,173,174
ฟ้องข้อหาฐานเบิกความเท็จว่าจำเลยที่ 1 เบิกความว่า เมื่อเด็กหญิง อ. บอกว่าถูกเด็กชายที่โรงเรียนเดียวกันข่มขืนกระทำชำเราก็ไปแจ้งความโดยมิได้เบิกความยืนยันว่าผู้ข่มขืนกระทำชำเราคือบุตรโจทก์ และจำเลยที่ 2 เบิกความไปตามคำบอกกล่าวของเด็กหญิง อ. แล้วเล่าถึงข้อเท็จจริงที่เด็กหญิง อ. ชี้ตัวบุตรโจทก์ว่าเป็นผู้ข่มขืนกระทำชำเรานั้น เมื่อข้อที่ว่าเด็กหญิง อ. บอกเล่าแก่จำเลยแต่ละคนจริงหรือไม่ และชี้ตัวบุตรโจทก์จริงหรือไม่ มิใช่เหตุการณ์ที่โจทก์กล่าวหาว่าเป็นความเท็จ ดังนั้น คำเบิกความของจำเลยทั้งสอง จึงไม่อาจมีมูลเป็นความผิดฐานเบิกความเท็จตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 177 ได้
การที่เจ้าพนักงานตำรวจได้จับกุมคุมขังเด็กชาย ศ. บุตรโจทก์ตามที่ได้รับแจ้งความนั้นเป็นเรื่องของเจ้าพนักงานตำรวจ ซึ่งได้กระทำไปตามอำนาจและหน้าที่ตามกฎหมายหาใช่ผลโดยตรงจากการที่จำเลยที่ 1 แจ้งข้อความไม่ การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงไม่มีมูลเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 310

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ได้บังอาจแจ้งข้อความอันเป็นเท็จต่อพนักงานสอบสวนอำเภอเมืองสงขลา ใจความสำคัญว่า เมื่อวันที่5 มิถุนายน 2515 เด็กหญิงเอวาสุระกำแหง อายุ 8 ปี บุตรของผู้แจ้งได้ถูกเด็กนักเรียนชายไม่ทราบชื่ออยู่ในโรงเรียนจุลละสมัยเดียวกันข่มขืนกระทำชำเรา ซึ่งต่อมาวันที่ 4 กรกฎาคม 2515 เด็กหญิงเอวาสุระกำแหง ได้ชี้ตัวเด็กชายศุภโยค หรือเกียรติ พูลศิริ บุตรโจทก์ว่าเป็นผู้ข่มขืนกระทำชำเราในโรงเรียนจุลละสมัย ในเวลากลางวัน ข้อความที่จำเลยที่ 1 นำไปแจ้งดังกล่าวนั้นเป็นความเท็จเพราะตามวันเวลาดังกล่าวนั้น เด็กหญิงเอวา สุระกำแหง ไม่ได้ไปโรงเรียนจึงไม่มีทางที่จะเกิดการข่มขืนกระทำชำเราขึ้นในโรงเรียนจุลละสมัยได้ และต่อมาจำเลยทั้งสองได้บังอาจสาบานตัวเข้าเบิกความอันเป็นเท็จต่อศาลคดีเด็กและเยาวชนจังหวัดสงขลา ในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 113/2515 ระหว่างพนักงานอัยการประจำศาลคดีเด็กและเยาวชนจังหวัดสงขลา โจทก์เด็กชายศุภโยค หรือเกียรติ พูลศิริ จำเลย เรื่องข่มขืนกระทำชำเรา โดยจำเลยที่ 1 เบิกความว่า”เมื่อวันที่ 5 ประมาณ 3-4 เดือนมานี้ ข้าพเจ้าพาผู้เสียหายไปโรงเรียน แต่เด็กไม่ยอมเข้าโรงเรียน ข้าพเจ้าไม่ยอม จึงให้ครูช่วยเอาตัวไปหลังจากนั้นผู้เสียหายไม่ยอมไปโรงเรียนอีก ต่อมาข้าพเจ้าเห็นอวัยวะเพศของผู้เสียหายบวมแดงและมีน้ำใส ๆ ออกมา จึงได้พาผู้เสียหายไปให้แพทย์ตรวจดู แพทย์บอกว่าถูกข่มขืน ผู้เสียหายว่าเด็กชายที่โรงเรียนเดียวกันทำ ข้าพเจ้าจึงไปแจ้งความที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองสงขลา จังหวัดสงขลา” และจำเลยที่ 2 เบิกความว่า “เมื่อเดือนมิถุนายน 2515 ระหว่างต้นเดือนกับกลางเดือนผู้เสียหายไม่ไปโรงเรียน ต้องบังคับกันจึงยอมไป วันนั้นกลับจากโรงเรียนแล้วผู้เสียหายไม่สบาย ข้าพเจ้าเห็นอวัยวะเพศของผู้เสียหายบวมแดงและมีน้ำใส ๆ ไหลออกมา จึงพาไปให้แพทย์ตรวจ เมื่อกลับมาแพทย์บอกว่าถูกข่มขืน ต่อมาข้าพเจ้าสอบถามผู้เสียหาย ผู้เสียหายว่าเด็กชายที่โรงเรียนเดียวกันข่มขืน ข้าพเจ้าจึงแจ้งความต่อร้อยตำรวจตรีปราโมทย์พนักงานสอบสวน ร้อยตำรวจตรีปราโมทย์พนักงานสอบสวนได้นำผู้เสียหายไปชี้ตัวที่โรงเรียนจุลละสมัยผู้เสียหายชี้ตัวเด็กชายศุภโยค หรือเกียรติ พูลศิริ ว่าเป็นผู้ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย” ข้อความที่จำเลยทั้งสองเบิกความมาข้างต้นนั้นเป็นความเท็จและเป็นข้อสำคัญในคดี เพราะตามวันเวลาที่กล่าวหาว่าบุตรของโจทก์ข่มขืนกระทำชำเราเด็กเอรา สุระกำแหง นั้นเด็กหญิงเอวา สุระกำแหง ไม่ได้ไปโรงเรียนจึงไม่มีทางที่เด็กหญิงเอวาสุระกำแหง จะถูกบุตรโจทก์ข่มขืนกระทำชำเราได้ การที่จำเลยไปแจ้งข้อความอันเป็นเท็จต่อพนักงานสอบสวนก็ดีและเบิกความเท็จต่อศาลก็ดี เพื่อประสงค์จะแกล้งให้บุตรโจทก์ได้รับโทษหรือโทษหนักทางอาญา การกระทำของจำเลยทั้งสองทำให้เด็กชายศุภโยคหรือเกียรติ พูลศิริ ถูกพนักงานตำรวจจับกุมคุมขังเป็นเวลาหลายวัน ต่อมาได้ถูกฟ้องต่อศาลตามคดีดังกล่าว และศาลได้พิพากษายกฟ้องโจทก์ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 172, 173, 174, 177 และ 310

ศาลชั้นต้นพิจารณาคำฟ้องโจทก์แล้ววินิจฉัยว่าความผิดฐานแจ้งความเท็จและเบิกความเท็จนั้น โจทก์มิได้กล่าวยืนยันในคำฟ้องว่าความจริงเด็กหญิงเอวา สุระกำแหง มิได้ถูกข่มขืนกระทำชำเราอันจะถือได้ว่าเป็นความเท็จและข้อความที่จำเลยทั้งสองเบิกความต่อศาล ก็ไม่ใช่ข้อสารสำคัญแห่งคดี อีกทั้งไม่ปรากฏว่า ข้อที่โจทก์อ้างว่าเป็นความเท็จนั้น จำเลยทั้งสองได้รู้อยู่แล้วหรือไม่ ฟ้องของโจทก์จึงไม่สมบูรณ์ด้วย ส่วนความผิดต่อเสรีภาพนั้น เห็นว่า การจับกุมคุมขังเป็นหน้าที่และอยู่ในดุลพินิจของเจ้าพนักงานตำรวจจำเลยทั้งสองยังไม่มีความผิดฐานนี้ กรณียังถือไม่ได้ว่า จำเลยทั้งสองได้กระทำความผิดตามฟ้อง พิพากษาให้ยกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า คำฟ้องโจทก์ไม่สมบูรณ์ เพราะขาดองค์ประกอบอันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 172, 173 และ 174 ส่วนความผิดฐานเบิกความเท็จนั้น คำฟ้องโจทก์ไม่ประกอบเป็นองค์ความผิดฐานนี้ได้ สำหรับความผิดต่อเสรีภาพ ฟ้องของโจทก์ไม่เข้าลักษณะที่จะเป็นความผิดเช่นเดียวกัน พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า สำหรับข้อหาฐานแจ้งความอันเป็นเท็จนั้นตามคำบรรยายฟ้องคงสรุปใจความได้เพียงว่า จำเลยที่ 1 ได้แจ้งข้อความต่อพนักงานสอบสวนว่าเด็กหญิงเอวาถูกเด็กนักเรียนชายไม่ทราบชื่อ ซึ่งอยู่ในโรงเรียนเดียวกันข่มขืนกระทำชำเรา ต่อมาเด็กหญิงเอวาชี้ตัวบุตรโจทก์ว่าเป็นผู้ข่มขืนกระทำชำเราในโรงเรียนนั้น แสดงว่าจำเลยที่ 1 แจ้งตามคำบอกเล่าของเด็กหญิงเอวาว่าเด็กหญิงเอวาถูกนักเรียนชายข่มขืนกระทำชำเราเท่านั้น โดยจำเลยที่ 1ก็มิได้กล่าวยืนยันว่าผู้ข่มขืนกระทำชำเรานั้นคือบุตรโจทก์ ส่วนข้อที่เด็กหญิงเอวาชี้ตัวบุตรโจทก์ว่าเป็นผู้ข่มขืนกระทำชำเราในโรงเรียนนั้น ก็เป็นการเล่าข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการชี้ตัวเท่านั้น จำเลยที่ 1 มิได้กล่าวยืนยันเองว่าบุตรโจทก์เป็นเด็กนักเรียนชายผู้ข่มขืนกระทำชำเราเด็กหญิงเอวา ซึ่งโจทก์ก็มิได้อ้างว่า เด็กหญิงเอวาไม่ได้เล่าแก่จำเลยที่ 1 เช่นนั้น หรือมิได้ชี้ตัวบุตรโจทก์ ไม่อาจมีมูลเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 172, 173, 174 ได้

สำหรับข้อหาฐานเบิกความเท็จนั้น ตามคำบรรยายฟ้อง คำเบิกความของจำเลยที่ 1 สรุปใจความได้เพียงว่า เมื่อเด็กหญิงเอวาว่า เด็กชายที่โรงเรียนเดียวกันข่มขืนกระทำชำเราจำเลยที่ 1 ก็ไปแจ้งความจำเลยที่ 1 ก็มิได้เบิกความยืนยันว่าเด็กนักเรียนชายนั้นคือบุตรโจทก์ ส่วนคำเบิกความของจำเลยที่ 2 ก็กล่าวตามคำบอกเล่าของเด็กหญิงเอวาว่าเด็กชายที่โรงเรียนเดียวกันข่มขืน แล้วเล่าถึงข้อเท็จจริงที่ว่า เด็กหญิงเอวาชี้ตัวบุตรโจทก์ว่าเป็นผู้ข่มขืนกระทำชำเราซึ่งข้อที่ว่าเด็กหญิงเอวาบอกเล่าแก่จำเลยแต่ละคน ดังนั้นจริงหรือไม่ เด็กหญิงเอวาชี้ตัวบุตรโจทก์จริงหรือไม่ ไม่ใช่เหตุการณ์ซึ่งโจทก์กล่าวหาว่าเป็นความเท็จ คำเบิกความของจำเลยทั้งสองดังที่โจทก์บรรยายมาในฟ้องจึงไม่อาจเป็นความผิดตามมาตรา 177 ได้เช่นกัน

ส่วนความผิดต่อเสรีภาพตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 310 นั้น เห็นว่า ที่เด็กชายศุภโยคถูกจับกุมคุมขังนั้น เป็นเรื่องของเจ้าพนักงานตำรวจซึ่งได้กระทำไปตามอำนาจและหน้าที่ตามกฎหมายหาใช่เป็นผลโดยตรงจากการที่จำเลยที่ 1 แจ้งข้อความที่โจทก์อ้างว่าเป็นเท็จไม่ ฟ้องโจทก์จึงไม่มีมูลเป็นความผิดตามบทมาตรา 310

พิพากษายืน

Share