คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 243/2543

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีนี้มิใช่เป็นคดีที่มีอัตราโทษอย่างต่ำจำคุกตั้งแต่ห้าปีขึ้นไป เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพในชั้นพิจารณา ศาลย่อมพิพากษาโดยไม่จำต้องสืบพยานหลักฐานต่อไปก็ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 176 วรรคหนึ่ง เมื่อไม่ปรากฏว่าคำรับสารภาพของจำเลยไม่ชอบด้วยกฎหมายอย่างไร และศาลชั้นต้นได้พิพากษาไปตามคำรับสารภาพนั้น กระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นจึงเป็นไปตามกฎหมาย หากคู่ความไม่พอใจย่อมมีสิทธิที่จะอุทธรณ์หรือฎีกาได้ แต่ไม่มีสิทธิขอให้ศาลชั้นต้นเพิกถอนกระบวนพิจารณาแล้วพิพากษาใหม่ ที่จำเลยฎีกาว่าจำเลยให้การรับสารภาพโดยไม่สมัครใจ และเข้าใจผิดว่าเป็นการถามชื่อจำเลย จึงให้การรับสารภาพไปเป็นความเข้าใจผิดของจำเลยเอง จึงไม่อาจยกเป็นข้อต่อสู้ได

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 334,335, 357, 83 และขอให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์จำนวน 500 บาท แก่ผู้เสียหาย

จำเลยให้การรับสารภาพฐานลักทรัพย์

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 335(1)(7)(8) วรรคสาม จำคุก 1 ปี จำเลยให้การรับสารภาพลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 6 เดือน ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ 500 บาทแก่ผู้เสียหาย

ต่อมาในวันเดียวกันนั้นเวลา 16.30 นาฬิกา ซึ่งเป็นเวลาภายหลังจากที่ศาลชั้นต้นได้อ่านคำพิพากษาให้โจทก์ จำเลยฟังแล้วศาลชั้นต้นได้จดบันทึกรายงานกระบวนพิจารณาว่าได้มีภริยาจำเลยมาแจ้งต่อศาลว่าให้ศาลชั้นต้นสอบคำให้การจำเลยอีกครั้งหนึ่งเพราะจำเลยต้องการปฏิเสธฟ้องโจทก์ เหตุที่รับสารภาพไปแล้วนั้นเพราะตกใจที่ต้องมาศาล ศาลชั้นต้นจึงเบิกตัวจำเลยมาสอบคำให้การใหม่ จำเลยแถลงขอให้การปฏิเสธอ้างว่าที่รับสารภาพไปเพราะไม่เข้าใจวิธีพิจารณา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าอาศัยอำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 ให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบ ให้นัดสืบพยานโจทก์ต่อไปโดยเปิดโอกาสให้จำเลยต่อสู้คดีได้เต็มที่ ตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้น ลงวันที่ 4 เมษายน 2537 เวลา 16.30 นาฬิกา

โจทก์และจำเลยนำพยานเข้าสืบจนเสร็จสิ้นทั้งสองฝ่าย

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 335(1)(7)(8) วรรคสอง จำคุก 1 ปี ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์500 บาท แก่ผู้เสียหาย คำขออื่นให้ยก

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายกอุทธรณ์ของจำเลย และกระบวนพิจารณานับแต่จดรายงานกระบวนพิจารณาฉบับลงวันที่ 4 เมษายน 2537 เวลา 16.30 นาฬิกา และต่อ ๆ มา หลังจากนั้นจนถึงก่อนทำคำพิพากษาฉบับลงวันที่ 21 สิงหาคม 2540 ทั้งหมด และคำพิพากษาของศาลชั้นต้นฉบับลงวันที่ 21 สิงหาคม 2540 ด้วย โดยให้บังคับตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นฉบับลงวันที่ 4 เมษายน 2537

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีประเด็นที่จะต้องพิจารณาในชั้นฎีกาว่ากระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นนับแต่จดรายงานกระบวนพิจารณาฉบับลงวันที่ 4 เมษายน 2537 เวลา 16.30 นาฬิกาเป็นต้นไป จนถึงก่อนทำคำพิพากษาฉบับลงวันที่ 21 สิงหาคม 2540 และคำพิพากษาของศาลชั้นต้นฉบับลงวันที่ 21 สิงหาคม 2540 ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า การที่ศาลชั้นต้นได้ดำเนินกระบวนพิจารณาโดยอ่านคำอธิบายฟ้องให้จำเลยฟังแล้วสอบถามคำให้การจำเลยในครั้งแรก ของวันที่ 4 เมษายน 2537 นั้น จำเลยให้การรับสารภาพ แล้วศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยมีกำหนด 1 ปีรับสารภาพลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุกจำเลย 6 เดือน ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์แก่ผู้เสียหาย 500 บาท คดีนี้มิใช่เป็นคดีที่มีอัตราโทษอย่างต่ำจำคุกตั้งแต่ห้าปีขึ้นไป เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพในชั้นพิจารณาศาลย่อมพิพากษาโดยไม่จำต้องสืบพยานหลักฐานต่อไปก็ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 176 วรรคหนึ่ง เมื่อทางพิจารณาไม่ปรากฏว่าคำรับสารภาพของจำเลยไม่ชอบด้วยกฎหมายอย่างไร ศาลชั้นต้นได้พิพากษาไปตามคำรับสารภาพนั้น กระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นเป็นไปตามกฎหมาย คำพิพากษาของศาลชั้นต้นฉบับลงวันที่ 4 เมษายน 2537 จึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว หากคู่ความไม่พอใจย่อมมีสิทธิที่จะอุทธรณ์หรือฎีกาได้ตามกฎหมายต่อไป แต่ไม่มีสิทธิขอให้ศาลชั้นต้นเพิกถอนกระบวนพิจารณาแล้วพิพากษาใหม่ดังเช่นคดีนี้ ที่จำเลยฎีกาว่าจำเลยให้การรับสารภาพโดยไม่สมัครใจ และเข้าใจผิดว่าเป็นการถามชื่อจำเลยเท่านั้น จำเลยจึงให้การรับสารภาพไป เห็นว่า ตามทางพิจารณาในสำนวนซึ่งกระทำในศาลโดยเปิดเผย ไม่ปรากฏว่าจำเลยให้การรับสารภาพโดยไม่สมัครใจแต่อย่างใด และเป็นความเข้าใจผิดของจำเลยเอง จึงไม่อาจยกเป็นข้อต่อสู้ได้

พิพากษายืน

Share