คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 436/2511

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยทำร้ายร่างกายผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่ไม่มีเจตนาฆ่า โจทก์อุทธรณ์ขอให้ศาลลงโทษจำเลยฐานพยายามฆ่าคนโดยเจตนา ถือได้ว่าเป็นอุทธรณ์ในทำนองขอให้เพิ่มเติมโทษจำเลยให้หนักขึ้นอยู่ในตัว ศาลอุทธรณ์จึงพิพากษาเพิ่มโทษจำเลยให้หนักขึ้นได้ ไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 212

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้ใช้ปืนตีและใช้มีดปลายแหลมแทงผู้เสียหาย โดยเจตนาจะฆ่าขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘, ๘๐
ในขั้นต้นจำเลยให้การปฏิเสธ แต่ได้กลับให้การรับสารภาพในภายหลัง เมื่อสืบพยานโจทก์ไปบ้างแล้ว
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยใช้ไม้ตีและใช้มีดแทงผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่ไม่มีเจตนาจะฆ่า ให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙๗ ให้จำคุก ๑ ปี ลดโทษตามมาตรา ๗๘ คงจำคุก ๘ เดือน
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า จำเลยมิได้มีเจตนาฆ่าผู้เสียหาย แต่ถือว่าจำเลยทำผิดล่วงเกินญาติผู้ใหญ่อย่างร้ายแรง และคำรับสารภาพของจำเลยก็เป็นการรับโดยจำนนต่อพยาน และไม่เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา พิพากษาแก้เป็นให้จำคุกจำเลย ๒ ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์อุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยฐานพยายามฆ่าคน เมื่อข้อเท็จจริงมิได้ความว่าจำเลยมีเจตนาฆ่า ศาลอุทธรณ์ต้องพิพากษายืนตามศาลชั้นต้น จะพิพากษาเพิ่มโทษจำเลยไม่ได้นั้น การที่โจทก์อุทธรณ์ขอให้ศาลลงโทษจำเลยฐานพยายามฆ่าคนโดยเจตนา ถือได้ว่าเป็นอุทธรณ์ในทำนองขอให้เพิ่มเติมโทษจำเลยให้หนักขึ้นอยู่ในตัว ศาลอุทธรณ์จึงพิพากษาเพิ่มโทษจำเลยให้หนักขึ้นได้ จึงไม่เป็นการต้องห้ามตามประมวล กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๑๒

Share