คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2425/2550

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

หนังสือมอบอำนาจให้ฟ้องคดีของโจทก์ซึ่งเป็นบริษัทมีแต่กรรมการ 2 คน ลงลายมือชื่อในนามของโจทก์โดยมิได้มีการประทับตราสำคัญของโจทก์กำกับไว้ จึงถือไม่ได้ว่ากรรมการ 2 คนนั้นได้กระทำการโดยชอบในฐานะผู้แทนบริษัทโจทก์ซึ่งเป็นนิติบุคคลมีผลเท่ากับโจทก์มิได้ลงลายมือชื่อในหนังสือมอบอำนาจให้ ด. ฟ้องคดีได้โดยชอบ ด. จึงไม่มีอำนาจลงลายมือชื่อในใบแต่งทนายความแต่งตั้งทนายความฟ้องคดีแทนโจทก์ ส่งผลให้ทนายความไม่มีอำนาจลงชื่อในคำฟ้องในฐานะทนายโจทก์แทนโจทก์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 534,178 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 490,488 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระหนี้เสร็จสิ้นแก่โจทก์
จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและไม่มาศาลในวันสืบพยาน
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกาโดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นรับฟังได้ว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด รายชื่อกรรมการและอำนาจกรรมการปรากฏตามหนังสือรับรองเอกสารหมาย จ.1 คดีนี้นายดนัย ลี้ทรงศักดิ์ เป็นผู้มาฟ้องคดีแทนโจทก์โดยอาศัยหนังสือมอบอำนาจเอกสารหมาย จ.2 มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องคดีนี้หรือไม่ เห็นว่า ตามหนังสือรับรองเอกสารหมาย จ.1 ข้อ 3 ระบุว่า จำนวนหรือชื่อกรรมการซึ่งลงชื่อผูกพันบริษัทได้คือ นายชาคริต เฉลิมวัฒน์ ลงลายมือชื่อร่วมกับนายวีระศักดิ์ เกียรติศรีชาติ หรือนายวีรเดช เกียรติศรีชาติ รวมกันเป็น 2 คน และประทับตราสำคัญของบริษัท แต่หนังสือมอบอำนาจให้ฟ้องคดีของโจทก์เอกสารหมาย จ.2 คงมีแต่นายชาคริต เฉลิมวัฒน์ และนายวีระศักดิ์ เกียรติศรีชาติ ลงลายมือชื่อในนามของโจทก์ไว้ในเอกสารโดยมิได้มีการประทับตราสำคัญของโจทก์กำกับไว้ จึงถือไม่ได้ว่านายชาคริต และนายวีระศักดิ์ ได้กระทำการโดยชอบในฐานะผู้แทนบริษัทโจทก์ซึ่งเป็นนิติบุคคลมีผลเท่ากับโจทก์มิได้ลงลายมือชื่อในหนังสือมอบอำนาจให้นายดนัย ลี้ทรงศักดิ์ ฟ้องคดีนี้ได้โดยชอบ นายดนัยจึงไม่มีอำนาจลงลายมือชื่อในใบแต่งทนายความแต่งตั้งนายวีรจักรให้เป็นทนายความฟ้องคดีนี้แทนโจทก์ได้ ซึ่งส่งผลให้นายวีรจักรไม่มีอำนาจลงชื่อในคำฟ้องในฐานะทนายโจทก์แทนโจทก์ได้ การที่นายวีรจักรได้ลงชื่อในฐานะเป็นโจทก์ในคำฟ้องโดยปราศจากอำนาจเช่นนี้ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ที่โจทก์อุทธรณ์ว่า ความบกพร่องของการไม่ได้ประทับตราสำคัญของบริษัทโจทก์ลงในใบมอบอำนาจให้ฟ้องคดีนั้น เป็นเพียงความบกพร่องเล็กน้อยอีกทั้งบริษัทโจทก์ได้ชำระค่าฤชาธรรมเนียมต่อศาล มีผลเท่ากับโจทก์ได้ให้สัตยาบันในการฟ้องร้องและดำเนินคดีนี้กับจำเลยแล้วนั้น เห็นว่า ตามหนังสือรับรองเอกสารหมาย จ.1 ข้อ 3 ระบุไว้ชัดเจนว่า กรรมการของบริษัทเมื่อจะลงชื่อในนามของนิติบุคคลได้จะต้องประทับตราสำคัญของบริษัทด้วย จึงจะมีผลผูกพันโจทก์ การประทับตามสำคัญดังกล่าวย่อมเป็นเงื่อนไขสำคัญที่ต้องปฏิบัติ เป็นสิ่งที่ช่วยให้บุคคลภายนอกสามารถแยกแยะได้ว่ากรณีใดกรรมการลงนามในนามส่วนตัวหรือกรณีใดกรรมการลงนามในฐานะเป็นผู้แทนของนิติบุคคล การประทับตราสำคัญจึงไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยหรือข้อบกพร่องเล็กน้อยอย่างที่โจทก์ได้อ้างมาในอุทธรณ์ ส่วนกรณีที่โจทก์เสียค่าฤชาธรรมเนียมในการฟ้องร้องดำเนินคดีนั้น ก็เป็นเพียงการเสียค่าขึ้นศาล แต่โจทก์มิได้ขอแก้ไขความบกพร่องของใบมอบอำนาจเดิมให้บริบูรณ์หรือทำใบมอบอำนาจฉบับใหม่มาใช้แทนที่ใบมอบอำนาจฉบับเดิมโดยสามารถร้องขอได้ตลอดเวลาในขณะที่ศาลชั้นต้นยังไม่ได้พิพากษา แต่โจทก์ก็หาได้ดำเนินการขอแก้ไขหรือทำใบมอบอำนาจฉบับใหม่มายื่นต่อศาลไม่ การที่โจทก์เพียงแต่เสียค่าขึ้นศาลย่อมไม่มีผลเปลี่ยนแปลงจากเดิมที่ไม่มีอำนาจฟ้องให้กลายเป็นผู้มีอำนาจฟ้องไปได้ ส่วนคำพิพากษาศาลฎีกาจำนวนหลายคดีที่โจทก์อ้างมาในอุทธรณ์เพื่อสนับสนุนข้ออ้างของโจทก์นั้น ก็ปรากฏว่าข้อเท็จจริงในแต่ละคดีไม่ตรงกับข้อเท็จจริงของคดีนี้ ที่ศาลชั้นต้นยกฟ้องเนื่องจากโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย”
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นนี้ให้เป็นพับ

Share