คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2422/2531

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

แม้จะไม่มีพยานคนใดรู้เห็นขณะจำเลยใช้มีดฟันผู้ตาย แต่มีพยานประกอบแวดล้อมที่ใกล้ชิดกับกรณีที่เกิดขึ้นคือ ส. ภรรยาจำเลย และ น. แม่ยายจำเลย โดยได้ความจากพยานทั้งสองว่า คืนก่อนวันเกิดเหตุจำเลยและผู้ตายดื่มสุราแล้วทะเลาะท้าทายกันรุ่งขึ้นเวลาประมาณ 8 นาฬิกา จำเลยและผู้ตายออกจากบ้านไปด้วยกันโดยจำเลยมีมีดติดตัวไปด้วย ครั้นเวลาประมาณ 12 นาฬิกาจำเลยกลับบ้าน ถือมีดดังกล่าวซึ่งเปื้อนเลือดบอกส. ว่าได้ฆ่าผู้ตายแล้ว และห้าม ส. ไม่ให้ไปแจ้งความมิฉะนั้นจะฆ่า และเวลาประมาณ 16 นาฬิกา จำเลยไปหา น. บอกว่าได้ฆ่าผู้ตายแล้วถ้าใครไปแจ้งตำรวจจะฆ่าให้หมด พยานหลักฐานดังกล่าวเป็นพยานแวดล้อมที่ใกล้ชิดกับกรณีที่เกิดขึ้นอย่างมาก เมื่อฟังประกอบกับที่จำเลยให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนและนำชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพแล้ว จึงปราศจากข้อสงสัยว่า จำเลยได้กระทำผิดฐานฆ่าผู้อื่นตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288.(ที่มา-ส่งเสริม)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา288 จำคุก 15 ปี คำรับสารภาพของจำเลยในชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์ในการพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุก 10 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ‘…ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง นายสุข ภักดีนอก ถูกคนร้ายใช้มีดขอฟันถึงแก่ความตาย มีบาดแผลตามรายงานการชันสูตรพลิกศพของแพทย์ท้ายฟ้อง คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยว่าจำเลยเป็นคนร้ายรายนี้หรือไม่ เห็นว่า แม้คดีนี้โจทก์จะไม่มีพยานคนใดรู้เห็นขณะจำเลยใช้มีดขอฟันผู้ตายก็ตาม แต่โจทก์มีพยานประกอบแวดล้อมที่ใกล้ชิดกับกรณีที่เกิดขึ้นคือนางสวัสดิ์ คำบุญลือ ภรรยาจำเลย สิบตำรวจเอกพิทักษ์ แก้วน่าน และนางหนู คำบุญลือ แม่ยายจำเลย โดยนางสวัสดิ์เบิกความว่า คืนก่อนวันเกิดเหตุจำเลยและผู้ตายดื่มสุราแล้วทะเลาะท้าทายกัน วันรุ่งขึ้นเวลาประมาณ 8 นาฬิกา จำเลยและผู้ตายได้ออกจากบ้านไปด้วยกัน มุ่งหน้าไปบนเขาเพื่อเอาถ่านที่เผาแล้วใส่กระสอบไปขายโดยจำเลยมีมีดขอครึ่งวงกลมติดตัวไปด้วย ครั้นเวลาประมาณ 12 นาฬิกา จำเลยกลับมาบ้าน ถือมีดดังกล่าวซึ่งเปื้อนเลือด บอกพยานว่าได้ฆ่าผู้ตายแล้วบนเขาห่างบ้านประมาณ 2กิโลเมตร พยานถามจำเลยว่าฆ่าผู้ตายทำไม จำเลยไม่ตอบแต่พูดห้ามไม่ให้พยานไปแจ้งความต่อเจ้าพนักงานตำรวจ มิฉะนั้นจะฆ่าพยานกลัวจึงไปแจ้งความต่อเจ้าพนักงานตำรวจที่ตู้ยามสิบตำรวจเอกพิทักษ์เบิกความว่า ขณะที่พยานประจำอยู่ที่จุดตรวจช่องสำราญ ในวันเกิดเหตุเวลา 17.30 นาฬิกา นางสวัสดิ์มาแจ้งต่อพยานว่า จำเลยได้ฆ่าผู้ตายถึงแก่ความตายบนเขาห่างจากหมู่บ้านประมาณ 2 กิโลเมตร พยานได้แจ้งให้หัวหน้าสายตรวจทราบและพากันไปจับกุมตัวจำเลยได้ที่บริเวณใกล้ตู้ยามตำรวจทางหลวงบ้านช่องสำราญตามที่นางสวัสดิ์ชี้ให้จับ และนางหนูเบิกความว่า ในวันเกิดเหตุเวลาประมาณ 16 นาฬิกา จำเลยได้มาหาพยานบอกว่าได้ฆ่าผู้ตายแล้ว ถ้าใครไปแจ้งเจ้าพนักงานตำรวจจะฆ่าให้หมด เห็นว่า พยานโจทก์ดังกล่าวโดยเฉพาะนางสวัสดิ์และนางหนูต่างเป็นคนใกล้ชิดกับจำเลย โดยนางสวัสดิ์เป็นภรรยา ส่วนนางหนูเป็นแม่ยาย ส่วนสิบตำรวจเอกพิทักษ์ก็เป็นเจ้าพนักงานตำรวจผู้รับแจ้งความ ต่างเบิกความติดต่อเชื่อมโยงถึงพฤติการณ์ต่างๆ ของจำเลยโดยไม่มีข้อพิรุธอันใดอันพึงสงสัยว่าได้เบิกความโดยมิได้รู้เห็นเหตุการณ์ตามความเป็นจริง ทั้งไม่มีข้อระแวงสงสัยว่าจะเบิกความกลั่นแกล้งจำเลย ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้ก็ตรงกับข้อเท็จจริงตามคำรับสารภาพของจำเลยในชั้นสอบสวนที่ว่าในคืนก่อนวันเกิดเหตุจำเลยและผู้ตายได้ดื่มสุราและทะเลาะท้าทายกันเกี่ยวกับเรื่องที่ผู้ตายพูดลวนลามภรรยาจำเลย เช้าวันรุ่งขึ้น จำเลยกับผู้ตายออกไปเผาถ่านไม้ตามปกติขณะนั่งพักผ่อนใกล้เตาเผาถ่านจำเลยกับผู้ตายก็ได้พูดทะเลาะโต้เถียงกันอีก ผู้ตายเข้ามาชกต่อยจำเลย จำเลยจึงใช้มีดขอสำหรับถางป่าฟันผู้ตายหลายครั้งผู้ตายเซไปประมาณ 5 เมตรแล้วล้มลง จำเลยถือมีดกลับมาบ้านเล่าเรืองที่ใช้มีดฟันผู้ตายให้นางสวัสดิ์ภรรยาตนทราบ ทั้งห้ามไม่ให้ไปแจ้งความ แล้วจำเลยไปบ้านนางล้อมมารดาจำเลยระหว่างทางได้ทิ้งมีดขอ และต่อมาได้ไปบ้านนางหนูถามหานางสวัสดิ์ เมื่อทราบว่านางสวัสดิ์ไปแจ้งความจึงไปตามนางสวัสดิ์ ระหว่างทางได้พบเจ้าพนักงานตำรวจจึงถูกจับกุมตัว ชั้นสอบสวนจำเลยให้การรับสารภาพว่าได้ใช้มีดขอฟันผู้ตายจริงดังปรากฏตามบันทึกคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยหมาย จ.3 นอกจากนั้นจำเลยยังได้นำชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพซึ่งพนักงานสอบสวนได้ถ่ายภาพไว้โดยละเอียด ปรากฏตามภาพถ่ายหมาย จ.4 รวม 10 ภาพ และบันทึกการชี้ที่เกิดเหตุหมาย จ.5 โดยมีร้อยตำรวจโทวิชิตชื่นสวัสดิ์ พนักงานสอบสวนมาเบิกความประกอบ ที่จำเลยอ้างว่าเจ้าพนักงานตำรวจเอากระดาษเปล่ามาให้ลงชื่อก็เป็นคำกล่าวอ้างลอยๆ ไม่มีพยานอื่นสนับสนุนจึงรับฟังไม่ได้ พยานหลักฐานโจทก์ที่ยกขึ้นกล่าวมาแล้วข้างต้นซึ่งเป็นพยานแวดล้อมที่ใกล้ชิดกับกรณีที่เกิดขึ้นอย่างมาก ประกอบคำรับสารภาพของจำเลยดังกล่าวจึงเพียงพอที่จะฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่า จำเลยเป็นผู้กระทำผิดตามฟ้องโจทก์…’
พิพากษายืน.

Share