แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ข้อเท็จจริงได้ความตามที่โจทก์ฟ้องและจำเลยให้การรับสารภาพว่าจำเลยเป็นเจ้าสำนักจัดให้มีการเล่นพนันขึ้นเพื่อนำมาซึ่งผลประโยชน์แห่งตนและร่วมเข้าเล่นพนันกับลูกค้าผู้เข้าเล่นพนัน ดังนี้ตามลักษณะหรือสภาพแห่งการกระทำทั้งสองกรณี คือเป็นเจ้าสำนักจัดให้มีการเล่นขึ้นเพื่อนำมาซึ่งผลประโยชน์แห่งตนกรณีหนึ่ง และการร่วมเข้าเล่นพนันกับลูกค้าผู้เข้าเล่นพนันอีกกรณีหนึ่ง สามารถแยกออกจากกันได้ เป็นการกระทำต่างฐานกันและมีเจตนาคนละอันกันจึงเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้อง ขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ. 2478มาตรา 4, 10, 12, 15 พระราชบัญญัติการพนัน (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2490มาตรา 3 พระราชบัญญัติการพนัน (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2504 มาตรา 3ริบของกลาง และจ่ายสินบนนำจับตามกฎหมาย
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติการพนันพ.ศ.2478 มาตรา 4, 10, 12, 15 พระราชบัญญัติการพนัน (ฉบับที่ 5)พ.ศ. 2490 มาตรา 3 พระราชบัญญัติการพนัน (ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2504มาตรา 3 จำเลยให้การรับสารภาพลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 จำเลย ฐานเป็นเจ้าสำนัก จำคุก 2 เดือน ฐานเป็นผู้เล่นปรับ 1,000 บาท รวมสองกระทงจำคุก 2 เดือน และปรับ 1,000 บาทไม่ชำระค่าปรับบังคับตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ให้จ่ายสินบนนำจับกึ่งหนึ่งของค่าปรับ ของกลางริบ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัย “คดีขึ้นมาสู่ศาลฎีกา เฉพาะแต่ในปัญหาข้อกฎหมายที่ว่าการกระทำของจำเลย เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน หรือเป็นการกระทำอันเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์ฟ้องว่าจำเลยเป็นเจ้าสำนักจัดให้มีการเล่นพนันขึ้นเพื่อนำมาซึ่งผลประโยชน์แห่งตน และร่วมเข้าเล่นพนันกับจำเลยนอกนั้นซึ่งเป็นลูกค้าผู้เข้าเล่นพนัน เมื่อจำเลย ให้การรับสารภาพข้อเท็จจริง จึงฟังได้ดังที่โจทก์ฟ้องกล่าวคือ จำเลย เป็นเจ้าสำนักจัดให้มีการเล่นพนันขึ้นเพื่อนำมาซึ่งผลประโยชน์แห่งตนกรณีหนึ่ง และจำเลยร่วมเข้าเล่นพนันกับจำเลยอื่นซึ่งเป็นลูกค้าผู้เข้าเล่นพนันอีกกรณีหนึ่ง จึงเป็นที่เห็นได้โดยแจ้งชัดว่า ตามลักษณะหรือสภาพแห่งการกระทำทั้งสองกรณีนั้นสามารถแยกออกจากกันได้ เป็นการกระทำต่างฐานกันและมีเจตนาคนละอัน จึงเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน…”
พิพากษายืน.