แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยทั้งสองนำสืบว่าไม่ได้ทำสัญญาขายที่พิพาท แต่ที่จำเลยทั้งสองลงลายพิมพ์นิ้วมือในสัญญาดังกล่าวเพราะไปกู้เงินโจทก์แล้วโจทก์ให้ลงลายพิมพ์นิ้วมือในกระดาษ ซึ่งไม่ทราบว่าเป็นกระดาษอะไร การนำสืบของจำเลยทั้งสองดังกล่าว เพื่อแสดงว่าถูกโจทก์หลอกลวงให้ลงชื่อในเอกสารและเอกสารนั้นใช้บังคับไม่ได้ มิใช่เป็นการนำสืบเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสาร แต่เป็นการนำสืบหักล้างสัญญาซื้อขายที่พิพาทว่าไม่ถูกต้องสมบูรณ์ทั้งหมด จำเลยทั้งสองจึงนำสืบได้ ไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 94
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองได้ขายที่ดินนา 1 แปลง ตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) ทะเบียนเลขที่ 1717 ให้แก่โจทก์ในราคา 13,000 บาท จำเลยทั้งสองได้มอบอำนาจให้โจทก์ไปจดทะเบียนโอนที่ดินเป็นของโจทก์ แต่ปรากฏว่าใบมอบอำนาจไม่สมบูรณ์จึงโอนไม่ได้ โจทก์จึงให้จำเลยทั้งสองไปดำเนินการจดทะเบียนโอนให้แต่จำเลยไม่ไปและไม่ยอมให้โจทก์เข้าครอบครองที่นาดังกล่าวขอให้บังคับจำเลยทั้งสองไปจดทะเบียนโอนขายที่พิพาทแก่โจทก์ภายใน7 วัน นับแต่วันที่ศาลพิพากษา หากจำเลยทั้งสองไม่ไปก็ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสอง ถ้าจำเลยไม่สามารถไปจดทะเบียนโอนที่พิพาทให้ได้ ให้จำเลยชำระเงินจำนวน 13,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยทั้งสองไม่เคยขายที่ดินตามฟ้องให้โจทก์ทั้งไม่เคยรับเงินจำนวน 13,000 บาทจากโจทก์ สัญญาซื้อขายและหนังสือมอบอำนาจเอกสารท้ายฟ้องเป็นเอกสารปลอม กล่าวคือจำเลยเคยกู้เงินโจทก์โจทก์ได้นำกระดาษแบบพิมพ์ที่ยังไม่ได้กรอกข้อความให้จำเลยทั้งสองพิมพ์ลายมือไว้หลายฉบับอ้างว่าเป็นสัญญากู้เงิน จำเลยทั้งสองอ่านหนังสือไม่ออกหลงเชื่อจึงพิมพ์ลายมือไว้ต่อมาโจทก์นำกระดาษแบบพิมพ์ดังกล่าวไปกรอกข้อความเอาเองโดยจำเลยไม่รู้เห็น จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดเพราะเงินที่ยืมไปก็ใช้คืนหมดแล้วแต่โจทก์ไม่คืน น.ส.3 ก. ให้จำเลย อ้างว่าหาไม่พบ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วฟังว่า จำเลยทั้งสองทำสัญญาขายที่ดินพิพาทให้โจทก์ โดยมอบอำนาจให้โจทก์ไปจดทะเบียนโอนชื่อในหนังสือรับรองการทำประโยชน์แทน พิพากษาให้จำเลยทั้งสองไปจดทะเบียนโอนขายที่ดินตามฟ้องให้แก่โจทก์ หากจำเลยทั้งสองไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสอง
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ฟังว่า จำเลยทั้งสองไม่ได้ทำใบมอบอำนาจให้โจทก์ไปโอนที่พิพาท และจำเลยทั้งสองไม่ได้ขายที่พิพาทให้โจทก์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์ฎีกาเป็นข้อกฎหมายว่า จำเลยทั้งสองนำสืบเปลี่ยนแปลงแก้ไขสัญญาซื้อขายที่พิพาท ว่าเป็นสัญญากู้เงินไม่ได้นั้น เห็นว่าการที่จำเลยทั้งสองนำสืบว่าไม่ได้ทำสัญญาซื้อขายที่พิพาท แต่ที่จำเลยทั้งสองลงลายพิมพ์นิ้วมือในเอกสารดังกล่าวเพราะไปกู้เงินโจทก์ แล้วโจทก์ให้ลงลายพิมพ์นิ้วมือในกระดาษซึ่งไม่ทราบว่าเป็นกระดาษอะไร การนำสืบของจำเลยทั้งสองดังกล่าวเพื่อแสดงว่าถูกโจทก์หลอกลวงให้ลงชื่อในเอกสารและเอกสารนั้นใช้บังคับไม่ได้มิใช่เป็นการนำสืบเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสารหากแต่เป็นการนำสืบหักล้างสัญญาซื้อขายที่พิพาทว่าไม่ถูกต้องสมบูรณ์ทั้งหมด จำเลยทั้งสองจึงนำสืบได้ไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 ดังที่โจทก์ฎีกา
พิพากษายืน