คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2407/2529

แหล่งที่มา : สำนักงาน ส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินพิพาทการที่จำเลยให้การต่อสู้ว่าได้สิทธิเหนือที่พิพาทโดยซื้อมาจากเจ้าของเดิมก็ดีโดยการครอบครองปรปักษ์ก็ดีหรือที่พิพาทตกอยู่ภายใต้ภารจำยอมแก่ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างของจำเลยก็ดีพร้อมกับฟ้องแย้งขอให้ศาลพิพากษาว่าที่พิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยให้โจทก์ไปจดทะเบียนภารจำยอมแก่จำเลยนั้นฟ้องแย้งของจำเลยก็คือเหตุผลอันเดียวกับที่ให้การไว้ซึ่งจำเลยชอบที่จะอ้างสิทธิต่างๆขึ้นใช้ยันโจทก์เพราะไม่แน่ว่าศาลจะฟังข้อเท็จจริงในรูปใดฟ้องแย้งของจำเลยจึงไม่ขัดแย้งกันเองและไม่เคลือบคลุม การที่บุคคลเข้าไปถมที่และล้อมรั้วเพื่อแสดงแนวเขตที่แน่นอนในที่ดินของบุคคลอื่นแม้บุคคลนั้นจะมิได้เข้าอยู่อาศัยหรือมอบหมายให้ผู้ใดเข้าอยู่แทนในที่ดินนั้นก็ตามถือได้ว่าเป็นการครอบครองปรปักษ์ในที่ดินของบุคคลอื่นแล้ว.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์และจำเลยเป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 15839และ 15840 อยู่ที่ตำบลลาดยาว อำเภอบางเขน กรุงเทพมหานคร ที่ดินจำเลยติดกับที่ดินโจทก์ทางด้านทิศใต้ จำเลยได้ปลูกสร้างโกดังเก็บสินค้า ที่พักคนงานและสร้างรั้วกั้นที่ดินของจำเลยรุกล้ำเข้าไปในที่ดินโจทก์ 21 ตารางวา โจทก์บอกกล่าวให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจำเลยเพิกเฉย โจทก์ขอคิดค่าเสียหายเดือนละ1,000 บาท จากวันทำละเมิดถึงวันฟ้องเป็นเงิน 58,000 บาทขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง หากไม่ปฎิบัติให้โจทก์เข้ารื้อถอนโดยจำเลยเสียค่าใช้จ่าย และชำระค่าเสียหายดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ย
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า เมื่อจำเลยซื้อที่ดินจากผู้มีชื่อแล้วปลูกสร้างโรงเรือนหากจะฟังว่าจำเลยปลูกสร้างโรงเรือนรุกล้ำที่ดินโจทก์ ก็เป็นการกระทำโดยสุจริต ที่ดินโจทก์จึงตกเป็นภาระจำยอมแก่ที่ดินจำเลย จำเลยครอบครองที่พิพากษาต่อจากเจ้าของเดิมรวมระยะเวลาเกิน 10 ปีแล้ว ที่พิพากษาจึงตกเป็นของจำเลยโดยการครอบครอง ที่พิพาทหากให้เช่าได้ค่าเช่าไม่เกินเดือนละ 50 บาทขอให้พิพากษาว่าที่พิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยให้โจทก์ไปจดทะเบียนสิทธิในที่ดินพิพาทเป็นภาระจำยอมแก่ที่ดินจำเลย หากไม่ปฎิบัติให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา และขอให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า ฟ้องแย้งเคลือบคลุม จำเลยเพิ่มปลูกสร้างอาคารเมื่อปี พ.ศ. 2518 จึงไม่ได้กรรมสิทธิในที่พิพาททั้งที่พิพาทก็มิได้ตกเป็นภาระจำยอมแก่ที่ดินจำเลย ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ฟ้องแย้งของจำเลยไม่เคลือบคลุม จำเลยครอบครองที่พิพาท 21 ตารางวาโดยปรปักษ์ จึงได้กรรมสิทธิ์และให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลชั้นต้นพิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่า ที่โจทก์ฎีกาว่าข้ออ้างตามฟ้องแย้งของจำเลยกล่าวความเป็นสามฝักสามฝ่าย ขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสอง และมาตรา 177วรรคสอง เป็นฟ้องเคลือบคลุมนั้น เห็นว่า ข้ออ้างตามฟ้องแย้งของจำเลยก็คือเหตุผผลเดียวกันกับข้อต่อสู้ในคำให้การ ซึ่งจำเลยชอบที่จะอ้างสิทธิต่าง ๆ ซึ่งตนมีอยู่โดยชอบด้วยกฎหมายขึ้นใช้ยันโจทก์ได้เพราะเป็นการไม่แน่นอนว่าการฟังข้อเท็จจริงอันเป็นประเด็นพิพาทในคดีของศาลจะออกมาในรูปใด จำเลยจึงจำต้องหยิบยกข้อกฎหมายซึ่งเห็นว่าเป็นคุณแก่ตนขึ้นกล่าวอ้างไว้ทุกกรณี การที่จำเลยอ้างว่าได้สิทธิเหนือที่พิพาทโดยการซื้อมาจากเจ้าของเดิมก็ดี โดยการครอบครองปรปักษ์ก็ดี หรือที่พิพาทอยู่ภายใต้ภาระจำยอมแก่ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างของจำเลยก็ดี หาใช่เป็นการกล่าวอ้างเป็นสามฝักสามฝ่ายอันจะถือเป็นเรื่องขัดแย้งกันเองดังโจทก์ฎีกาไม่ ฟ้องแย้งของจำเลยจึงไม่เคลือบคลุมส่วนที่โจทก์ฎีกาว่าระยะเวลาการครอบครองที่พิพาทของจำเลยยังไม่ครบ 10 ปี เพราะก่อนหน้านั้นตามข้อเท็จจริงและพฤติการณืยังถือไม่ได้ว่านางจำลองเจ้าของเดิมได้ครอบครองปรปักษ์ต่อโจทก์อันจะมีผลให้จำเลยนับระยะเวลาครอบครองติดต่อกันได้นั้นน่าเชื่อว่า เมื่อนางจำลองซื้อที่ดินจากนางทองย้อยผู้จัดสรรที่ดินแล้ว ได้ออกโฉนดในนามนางจำลอง เมื่อปี พ.ศ. 2500 แล้วนางจำลองได้จัดการถมที่และจ้างนายทองอยู่ให้เป็นผู้ล้อมรั้วลวดหนามพร้อมทั้งดูแลที่ของตนด้วย ศาลฎีกาเห็นว่า แม้นางจำลองจะมิได้เข้าอยู่อาศัยหรือมอบหมายให้ผู้ใดเข้ามาอยู่แทนก็ตามการถมที่และล้อมรั้วเพื่อแสดงแนวเขตที่แน่นอนอันเป็นสิทธิของตนเหนือที่ดินย่อมถือได้ว่าเป็นการแสดงออกซึ่งการครอบครองแล้วเมื่อนับรวมเวลาที่จำเลยครอบครองต่อมาจึงเกินกว่า 10 ปีก่อนโจทก์ฟ้องคดีนี้ ที่พิพาทจึงตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยโดยการครอบครองปรปักษ์
พิพากษายืน.

Share