แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คดีที่อัยการเป็นโจทก์ยื่นฟ้องคดีความผิดต่อส่วนตัวไว้ต่อศาลแล้วนั้น เมื่อเจ้าทุกข์ยื่นคำร้องต่อศาลขอถอนคำร้องทุกข์เสียแล้ว โดยคำร้องขอถอนนั้นมีข้อความถูกต้อง แม้ศาลจะไม่สังคำร้องขอถอนนั้น ก็ถือว่าโจทก์หมดสิทธิในการว่ากล่าวเอาโทษแก่จำเลยในความผิดต่อส่วนตัวต่อไป
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยสมคบกันฉุดคร่าพานางเสยไปเพื่อการอนาจารแล้วจำเลยที่ ๑ ข่มขืนชำเรานางเสยและยังได้กักขังหน่วงเหนี่ยวให้นางเสยเสื่อมเสียอิสรภาพอีกด้วยขอให้ลงโทษตามกฎหมายอาญามาตรา ๒๓๖,๒๔๓,๒๔๖,๒๖๘,๒๗๐,๗๑,๖๓
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยที่ ๑ ตามมาตรา ๒๗๖,๒๖๘, และ ๒๔๓ ลงโทษจำเลยที่ ๒ ตามมาตรา ๒๖๘,๒๗๖
จำเลยทั้ง ๒ อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์เห็นว่าคดีนี้เจ้าทุกข์ได้ถอนคำร้องทุกข์ในคดีความผิดต่อส่วนตัวเสียแล้วตั้งแต่ก่อนวันที่จำเลยยื่นคำให้การ จึงพิพากษาแก้ศาลชั้นต้น คงลงโทษจำเลยทั้ง ๒ ฐานฉุดคราตามมาตรา ๒๗๖ เท่านั้น
โจทก์ฎีกาว่าคำขอถอนคำร้องทุกข์ของนางเสยไม่ถูกต้องตามกฎหมาย
ศาลฎีกาเห็นว่าเมื่อคดีมาถึงศาลนางเสยเจ้าทุกข์ยื่นคำร้องขอถอนคำร้องทุกข์ต่อศาลก็เป็นการถูกต้องแล้ว ไม่จำเป็นต้องยื่นขอถอนต่อเจ้าหน้าที่พนักงานสอบสวนอีกและเมื่อได้ยื่นแล้วคำขอของผู้ร้องจะถูกต้องหรือไม่อยู่ที่ข้อความในคำร้องขอนั้นเองมิใช่อยู่ที่ศาลจะสั่ง เมื่อคำร้องขอถอนคำร้องทุกข์ของเจ้าทุกข์มีข้อความถูกต้องแล้ว แม้ศาลชั้นต้นจะไม่สั่ง โจทก์ก็หมดสิทธิในการว่ากล่าวเอาโทษ แก่จำเลยในคดีความผิดส่วนตัวต่อไป จึงพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์