คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2392/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญา ต้องรับผิดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์แม้โจทก์นำสืบไม่ได้ว่าได้รับความเสียหายตามจำนวนที่ฟ้อง ศาลก็มีอำนาจกำหนดค่าเสียหายได้ตามสมควร
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยรับเงิน 600,000 บาทและจดทะเบียนไถ่ถอนขายฝากที่ดินแก่โจทก์ ศาลจะพิพากษาให้จำเลยรับการไถ่ถอนการขายฝากจากโจทก์ในจำนวนเงิน 600,000 บาท โดยกำหนดให้โจทก์วางเงินสินไถ่จำนวนดังกล่าวต่อศาลภายใน 30 วัน หาได้ไม่เพราะเป็นการพิพากษาเกินคำขอ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้ทำสัญญาขายฝากที่ดินรวม ๓ โฉนดพร้อมสิ่งปลูกสร้างให้จำเลยเป็นเงิน ๖๐๐,๐๐๐ บาท มีกำหนด ๑ ปี ต่อมาโจทก์ทำสัญญาจะขายที่ดินทั้งสามแปลงแก่ผู้มีชื่อ นัดโอนในวันที่ ๕ สิงหาคม ๒๕๒๖ หากโอนไม่ได้โจทก์จะต้องใช้ค่าเสียหาย โจทก์นัดให้จำเลยไปจดทะเบียนไถ่ที่ดินคืนในวันที่ ๕ สิงหาคม ๒๕๒๖ แต่จำเลยไม่ไปตามนัด ทำให้โจทก์เสียค่าปรับเป็นเงิน ๔๐๐,๐๐๐ บาท ขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยรับเงิน ๖๐๐,๐๐๐ บาท และจดทะเบียนไถ่ถอนขายฝากที่ดินทั้งสามแปลงแก่โจทก์ โดยหักค่าเสียหายให้โจทก์ ๔๐๐,๐๐๐ บาท คงรับจริงเป็นเงิน ๒๐๐,๐๐๐ บาท
จำเลยให้การว่า ได้รับซื้อฝากไว้จริง โจทก์เคยแจ้งว่าจะไถ่ที่ดินคืนในวันที่ ๕ สิงหาคม ๒๕๒๖ จำเลยได้ไปคอยอยู่ที่สำนักงานที่ดินจังหวัดนครราชสีมา แต่โจทก์ไม่ไปตามกำหนดนัด โจทก์มิได้เสียค่าปรับ ๔๐๐,๐๐๐ บาท ตามฟ้อง ถ้าเสียจริงไม่เกิน๑๐,๐๐๐ บาท ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยรับการไถ่ถอนการขายฝากจากโจทก์ในจำนวนเงิน ๖๐๐,๐๐๐ บาท เคยให้โจทก์นำเงินมาวางศาลภายใน ๓๐ วันมิฉะนั้นถือว่าโจทก์สละสิทธิ์การไถ่ และให้จำเลยไปจดทะเบียนการขายฝากให้โจทก์หากจำเลยไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของจำเลย
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยรับการไถ่ถอนการขายฝากที่ดินพิพาทจากโจทก์ในจำนวนเงิน ๖๐๐,๐๐๐ บาท โดยโจทก์ไม่ต้องนำเงินมาวางศาล ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ ๓๐,๐๐๐ บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา นางสาวประเดิม เพชรสูงเนินยื่นคำร้องว่า เป็นบุตรของโจทก์ โจทก์ถึงแก่กรรม ขอเข้าเป็นคู่ความแทน ศาลฎีกาอนุญาต
ศาลฎีกาวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่า ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่าจำเลยผิดสัญญาไม่ยอมให้โจทก์ไถ่การขายฝาก ข้อต้องพิจารณาตามฎีกาของจำเลยประการแรกว่า จำเลยจะต้องใช้ค่าเสียหาย ๓๐,๐๐๐ บาท แก่โจทก์หรือไม่เห็นว่า เมื่อจำเลยผิดสัญญา แม้โจทก์นำสืบไม่ได้ว่าจะเสียหายจริงถึง ๔๐๐,๐๐๐ บาท ตามฟ้อง จำเลยยังต้องรับผิดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ การที่จำเลยอ้างในฎีกาว่าโจทก์กับนางสุรีย์วางแผนกันทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาท ไม่ปรากฏว่าจำเลยได้ต่อสู้คดีและสืบให้เห็นว่าโจทก์กับนางสุรีย์สมคบกันหลอกลวงจำเลย อันจะทำให้จำเลยไม่ต้องรับผิด เมื่อคดีฟังว่าจำเลยผิดสัญญา จำเลยต้องรับผิดต่อโจทก์โดยศาลมีอำนาจที่จะกำหนดค่าเสียหายได้ตามสมควร ซึ่งศาลอุทธรณ์กำหนดให้จำเลยรับผิด ๓๐,๐๐๐ บาท นับว่าเหมาะสมแก่รูปคดีแล้ว ฎีกาจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
สำหรับฎีกาของจำเลยที่จะให้โจทก์วางเงินสินไถ่การขายฝาก ๖๐๐,๐๐๐ บาท ต่อศาลภายในกำหนด ๓๐ วัน นั้น ศาลชั้นต้นได้พิพากษากำหนดเวลาให้โจทก์วางเงิน ศาลอุทธรณ์เห็นวส่าเกิดคำขอ โจทก์ไม่ต้องวางเงินค่าไถ่ภายใน ๓๐ วัน ข้อนี้ศาลฎีกาเห็นว่า คู่ความมิได้ขอให้ศาลพิพากษาเช่นนั้น เป็นความประสงค์ของจำเลยที่เกินคำขอ และกรณีเช่นนี้เป็นเรื่องที่คู่ความจะต้องปกิบัติในชั้นบังคับคดี เมื่อโจทก์ต้องการที่ดินที่ต้องชำระเงินให้จำเลยเพื่อไถ่การขายฝาก จึงไม่จำเป็นที่จะต้องสั่งให้โจทก์วางเงินสินไถ่ภายใน ๓๐ วัน ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.

Share