คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2391/2529

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์แทนลูกค้านั้น บริษัทผู้ดำเนินการซื้อขายหุ้นแทนลูกค้ากับลูกค้ามีเจตนาผูกพันขอให้เป็นหุ้นประเภท จำนวน และราคาตามที่ตกลงสั่งซื้อหรือตกลงขายไว้ต่อกันเป็นปัจจัยสำคัญ การซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์เป็นนิติกรรมอย่างหนึ่งซึ่งสามารถแยกจากการจดทะเบียนโอนหุ้นได้โดยเด็ดขาด กรรมสิทธิ์ในหุ้นย่อมตกแก่ผู้ซื้อทันทีที่ได้มีการซื้อขายกัน การจดทะเบียนโอนหุ้นเป็นการกระทำเพียงเพื่อให้เจ้าของกรรมสิทธิ์ในหุ้นนั้นใช้ยันต่อบริษัทที่ออกหุ้นหรือต่อบุคคลภายนอกเท่านั้นหาเกี่ยวข้องถึงความสมบูรณ์ของการซื้อขายหุ้นแต่ประการใดไม่ ดังนี้แม้โจทก์ซื้อหุ้นให้จำเลยตามข้อตกลงกันแล้ว โจทก์ยังไม่ได้ปฏิบัติตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1129 ก็ยังถือว่าโจทก์ได้จัดการซื้อหุ้นตามฟ้องให้จำเลยที่ 1 และเมื่อโจทก์ได้ชำระเงินค่าหุ้นแทนจำเลยที่ 1 ไปก่อน จำเลยที่ 1 จึงมีหน้าที่ต้องใช้เงินที่โจทก์ได้ออกแทนไปพร้อมทั้งค่านายหน้าและดอกเบี้ยให้โจทก์ตามที่จำเลยที่ 1 ตกลงไว้กับโจทก์
จำเลยที่ 1 ทำบันทึกข้อตกลงรับสภาหนี้ให้โจทก์โดยมีมูลหนี้เกิดจากที่โจทก์ซื้อหุ้นให้จำเลยในตลาดหลักทรัพย์และได้ชำระเงินค่าหุ้นแทนจำเลยที่ 1 ไปจำเลยที่ 1 ย่อมต้องรับผิดตามบันทึกข้อตกลงรับสภาพหนี้นั้น และกรณีนี้มีอายุความ 10 ปี นับแต่วันที่จำเลยตกลงทำบันทึกข้อตกลงดังกล่าว
จำเลยที่ 2 ให้การต่อสู้คดีและเบิกความว่า จำเลยที่ 2 ตกลงกับโจทก์และสั่งให้โจทก์ซื้อหุ้นแทนจำเลยที่ 1 กับพวก และได้ลงชื่อในบันทึกข้อตกลงรับสภาพหนี้แทนจำเลยที่ 1 ปรากฏว่าข้อความในบันทึกตอนเริ่มต้นมีว่า จำเลยที่ 2 ได้ทำบันทึกข้อตกลงแทนจำเลยที่ 1 ไม่ได้ทำในนามของตนเอง ประกอบกับโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองให้ชำระหนี้ตามบันทึกข้อตกลงดังกล่าว ดังนั้น แม้จำเลยที่ 2 จะลงชื่อในท้ายบันทึกดังกล่าวในฐานะผู้ให้สัญญา กรณีก็อาจตีความได้เป็นสองนัยว่า ลงชื่อในฐานะเป็นผู้ทำบันทึกข้อตกลงแทนจำเลยที่ 1 หรือในฐานะเป็นคู่สัญญากับโจทก์โดยตรงก็ได้ ศาลจึงตีความในทางที่เป็นคุณแก่จำเลยที่ 2 ตามนัยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 11 จำเลยที่ 2 ไม่ต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 ต่อโจทก์ตามบันทึกข้อตกลงรับสภาพหนี้ดังกล่าว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองกับพวกอีก ๑ คนเป็นลูกค้าและตกลงให้โจทก์เป็นตัวแทนหรือนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ตามคำสั่งของจำเลยทั้งสองกับพวกเป็นคราว ๆ ให้โจทก์ทดลองจ่ายเงินไปก่อน โดยจะชำระคืนพร้อมดอกเบี้ยร้อยละ๑๔ ต่อปี และค่านายหน้า โจทก์ได้ซื้อหุ้นและออกเงินทดลองแทนจำเลยไป หลังจากหักหนี้กันแล้ว จำเลยทั้งสองกับพวกได้ทำหนังสือรับสภาพหนี้ให้โจทก์โดยผ่อนชำระเป็นรายเดือนเพร้อมดอกเบี้ยร้อยละ ๑๕ ต่อปี และจำเลยทั้งสองไม่ชำระ รวมเป็นหนี้โจทก์ทั้งสิ้น ๒๘๖,๕๒๙.๗๖ บาท ขอให้จำเลยทั้งสองชำระเงินจำนวนดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ย
จำเลยที่ ๑ ให้การว่าไม่ได้เป็นหนี้โจทก์ หนี้ตามบันทึกดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย ฟ้องโจทก์ขาดอายุความ
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า จำเลยที่ ๒ มิได้ตกลงร่วมรับผิดกับจำเลยที่ ๑ โดยจำเลยที่ ๒ เป็นเพียงคนกลางให้โจทก์กับจำเลยที่ ๑ ตกลงกัน จึงไม่ต้องรับผิดตามหนังสือรับสภาพหนี้ดังกล่าว
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน ๒๐๘,๘๖๕.๗๖บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ ๑๕ ต่อปี นับแต่วันที่ ๑๕ เมษายน ๒๕๒๕ จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ ๒ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์และจำเลยที่ ๑ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามบันทึกข้อตกลงรับสภาพหนี้ โดยจำเลยทั้งสองยอมผ่อนชำระให้โจทก์เดือนละ ๗,๐๐๐ บาท กับยอมให้โจทก์นำเงินปันผลมาหักชำระหนี้ได้ด้วย ซึ่งจำเลยทั้งสองได้ผ่อนชำระให้โจทก์ ๓๕,๐๐๐ บาท และเงินปันผลดังกล่าวอีก ๑๗,๑๐๐ บาท เมื่อหักหนี้กันแล้วคงค้างชำระ ๒๐๘,๘๖๕.๗๖ บาท หลังจากนั้นไม่เคยชำระอีกเลย เห็นว่าการซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์แทนลูกค้านั้นผู้ดำเนินการซื้อขายหุ้นแทนลูกค้ากับลูกค้ามีเจตนาผูกพันขอให้เป็นหุ้นประเภทจำนวนและราคาตามที่ตกลงสั่งซื้อหรือตกลงขายไว้ต่อกันเป็นปัจจัยสำคัญ การซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์เป็นนิติกรรมอย่างหนึ่งซึ่งสามารถแยกจากการจดทะเบียนโอนหุ้นได้โดยเด็ดขาด กรรมสิทธิ์ในหุ้นย่อมตกแก่ผู้ซื้อทันทีที่ได้มีการซื้อขายกัน การจดทะเบียนโอนหุ้นเป็นการกระทำเพียงเพื่อให้เจ้าของกรรมสิทธิ์ในหุ้นนั้นใช้ยันต่อบริษัทที่ออกหุ้นหรือต่อบุคคลภายนอกเท่านั้นหาเกี่ยวข้องถึงความสมบูรณ์ของการซื้อขายหุ้นแต่ประการใดไม่ ด้วยเหตุดังได้วินิจฉัยมาเห็นว่า แม้โจทก์ซื้อหุ้นให้จำเลยตามข้อตกลงกันแล้ว โจทก์ยังไม่ได้ปฏิบัติตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๑๒๙ ก็ยังถือว่าโจทก์ได้จัดการซื้อหุ้นตามฟ้องให้จำเลยที่ ๑และโจทก์ได้ชำระเงินค่าหุ้นแทนจำเลยที่ ๑ ไปก่อน จำเลยที่๑ มีหน้าที่ต้องใช้เงินที่โจทก์ได้ออกแทนไปพร้อมทั้งค่านายหน้าและดอกเบี้ยให้โจทก์ตามที่จำเลยที่ ๑ ตกลงไว้กับโจทก์ หนี้ตามบันทึกข้อตกลงรับสภาพหนี้ จึงมีมูลหนี้เกิดจากโจทก์ชำระเงินค่าหุ้นแทนจำเลยที่ ๑ ไป จำเลยที่ ๑ จึงต้องรับผิดตามบันทึกข้อตกลงรับสภาพหนี้
ฎีกาข้อ ๓ ของจำเลยที่ ๑ ในปัญหาเรื่องอายุความนั้น เห็นว่าโจทก์ฟ้องจำเลยให้ชำระหนี้ตามบันทึกข้อตกลงรับสภาพหนี้ ซึ่งนับแต่วันที่จำเลยตกลงทำบันทึกข้อตกลงดังกล่าวถึงวันฟ้องยังไม่เกิน ๑๐ ปี คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๖๔
สำหรับฎีกาของโจทก์ในปัญหาเรื่องจำเลยที่ ๒ จะต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ ๑ ตามบันทึกข้อตกลงรับสภาพหนี้หรือไม่นั้นเห็นว่า นอกจากจำเลยที่ ๒ ให้การต่อสู้คดีไว้และเบิกความว่าจำเลยที่ ๒ ตกลงกับโจทก์และสั่งให้โจทก์ซื้อหุ้นแทนจำเลยที่ ๑ กับพวก และลงชื่อในบันทึกข้อตกลงแทนจำเลยที่ ๑ แล้วปรากฏว่าข้อความในบันทึกข้อตกลงดังกล่าวมีลักษณะเป็นหนังสือรับสภาพหนี้ข้อความในบันทึกตอนเริ่มต้นมีปรากฏให้เห็นว่าจำเลยที่ ๒ ได้ทำบันทึกข้อตกลงแทนจำเลยที่ ๑ ไม่ได้ทำในนามของตนเองประกอบกับโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองให้ชำระหนี้ตามบันทึกข้อตกลงดังกล่าว ดังนั้นแม้จำเลยที่ ๒ จะลงชื่อในท้ายบันทึกดังกล่าวในฐานะเป็นผู้ให้สัญญาก็อาจตีความหมายได้เป็น ๒ นัยว่าลงชื่อในฐานะเป็นผู้ทำบันทึกข้อตกลงแทนจำเลยที่ ๑ หรือในฐานะเป็นคู่สัญญากับโจทก์โดยตรงก็ได้ด้วยเหตุผลดังได้วินิจฉัยมา ศาลจึงตีความในทางที่เป็นคุณแก่จำเลยที่ ๒ ตามนัยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๑ จำเลยที่ ๒ จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.

Share