คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2387/2540

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้และคดีหมายเลขดำที่ 13/2539ของศาลภาษีอากรกลางพร้อมกับโดยมอบอำนาจให้ อ.เป็นผู้ฟ้องคดีแทนทั้งสองเรื่อง แต่ด้วยความสับสนและผิดหลงได้ติดหนังสือมอบอำนาจทั้งสองฉบับสลับสำนวนกัน และในการยื่นคำคู่ความต่อ ๆ มา เจ้าหน้าที่ศาลก็ยังเผลอติดคำคู่ความสลับสำนวนกันอีก ต่อมาโจทก์ได้ยื่นคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมให้ถูกต้อง ศาลจึงอนุญาตให้นำหนังสือมอบอำนาจที่สลับสำนวนกันมาติดใหม่ให้ถูกต้อง ซึ่งหนังสือมอบอำนาจท้ายสำนวนก็ปรากฏข้อความว่า กรรมการผู้มีอำนาจลงนามแทนโจทก์ได้มอบอำนาจให้ อ. ฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องและการที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้แก้ไขได้ก็เป็นการอนุญาตให้แก้ไขให้ถูกต้องตามความเป็นจริงชอบที่ศาลจะอนุญาตได้ แม้บริษัทโจทก์จะจัดตั้งขึ้นมาโดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อประกอบกิจการค้าหรือหากำไรก็ตาม แต่การค้าขายโดยปกติของโจทก์เป็นการค้าปูนซิเมนต์และวัสดุอุปกรณ์ต่าง ๆในการก่อสร้าง มิใช่เป็นการค้าขายที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างโจทก์ซื้อที่ดินและอาคารมาโดยมีความมุ่งหมายเพื่อใช้เป็นสถานที่ประกอบกิจการค้า ต่อมาเมื่อหมดความจำเป็นจึงขายไปและแม้จะขายได้ราคาสูงกว่าราคาที่ซื้อมาเป็นจำนวนมากก็เป็นไปตามปกติของราคาที่ดินและอาคารที่สูงขึ้นตามกาลเวลาของราคาตลาด หาใช่มีลักษณะเป็นทางการค้าหรือหากำไรจึงยังถือไม่ได้ว่าโจทก์ขายที่ดินและอาคารตามฟ้องไปเป็นทางการค้าหรือหากำไร โจทก์จึงไม่จำต้องเสียภาษีการค้าตามบัญชีอัตราภาษีการค้า ประเภทการค้า 11 แห่งประมวลรัษฎากร

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนการประเมินภาษีการค้าของเจ้าพนักงานประเมินของจำเลยตามหนังสือแจ้งภาษีการค้าที่ ต.6/1035/4/102732 และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ตามประมวลรัษฎากร เลขที่ 532/2538/1 ที่วินิจฉัยให้โจทก์นำเงินค่าภาษีการค้า เบี้ยปรับ เงินเพิ่ม และภาษีบำรุงเทศบาล จำนวน 11,838,750 บาท ไปชำระด้วย
จำเลยให้การว่า การประเมินภาษีการค้ารายบริษัทโจทก์ของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ในคดีนี้ถูกต้องชอบด้วยเหตุผลและกฎหมายแล้วโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนการประเมินของเจ้าพนักงานและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ ขอให้ยกฟ้อง
ก่อนสืบพยานโจทก์และจำเลยแถลงรับข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำฟ้องและคำให้การรวมตลอดทั้งตามเอกสารที่คู่ความอ้างเป็นพยานหลักฐาน โดยโต้แย้งกันเพียงว่าการขายที่ดินและอาคารที่พิพาทตามฟ้องของโจทก์เป็นการขายทางการค้าหรือหากำไรหรือไม่
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาให้เพิกถอนการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินตามหนังสือแจ้งภาษีการค้า ที่ ต.6/1035/4/102732ฉบับลงวันที่ 29 กันยายน 2537 และเพิกถอนคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ตามหนังสือที่ 532/2538/1ฉบับลงวันที่ 31 สิงหาคม 2538
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยในประการแรกว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ในข้อนี้ได้ความว่า โจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้และคดีหมายเลขดำที่ 13/2539 ของศาลภาษีอากรกลางพร้อมกันโดยมอบอำนาจให้นางอุบลรัตน์ นครชัย เป็นผู้ฟ้องคดีแทนทั้งสองเรื่องแต่ด้วยความสับสนและผิดหลงได้ติดหนังสือมอบอำนาจทั้งสองฉบับสลับสำนวนกัน และในการยื่นคำคู่ความต่อ ๆ มา เจ้าหน้าที่ศาลก็ยังเผลอติดคำคู่ความสลับสำนวนกันอีก ต่อมาโจทก์ได้ยื่นคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมให้ถูกต้อง ศาลจึงอนุญาตให้นำหนังสือมอบอำนาจที่สลับสำนวนกันมาติดใหม่ให้ถูกต้อง ซึ่งหนังสือมอบอำนาจท้ายสำนวนก็ปรากฏข้อความว่า กรรมการผู้มีอำนาจลงนามแทนโจทก์ได้มอบอำนาจให้นางอุบลรัตน์ นครชัย ฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องและการที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้แก้ไขได้ก็เป็นการอนุญาตให้แก้ไขให้ถูกต้องตามความเป็นจริงชอบที่ศาลจะอนุญาตได้
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยในประการต่อไปว่าโจทก์ขายที่ดินพิพาทเป็นทางการค้าหรือหากำไร อันจะต้องเสียภาษีการค้าตามบัญชีอัตราภาษีการค้าประเภทการค้า 11แห่งประมวลรัษฎากรหรือไม่ ข้อเท็จจริงฟังได้จากคำฟ้องคำให้การและที่โจทก์จำเลยแถลงรับกันว่า เดิมบริษัทค้าวัสดุก่อสร้าง จำกัดมีโจทก์เป็นผู้ถือหุ้นร้อยละ 99.87 ของทุนจดทะเบียนบริษัทค้าวัสดุก่อสร้าง จำกัด ประกอบกิจการซื้อสินค้าจำพวกผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในการก่อสร้างต่าง ๆ เช่น ปูนซิเมนต์กระเบื้องมุงหลังคา เหล็กเส้น ฯลฯ จากโจทก์และบริษัทผู้ผลิตสินค้าวัสดุก่อสร้างรายอื่นมาจัดจำหน่ายให้แก่ลูกค้าทั่วไป โดยมีสถานประกอบกิจการจัดจำหน่ายสินค้าอยู่ที่อาคารเลขที่ 1041, 1043และ 1045 ซึ่งตั้งอยู่บนที่ดินโฉนดเลขที่ 6151, 7844, 9941รวม 4 โฉนด เป็นเนื้อที่ 4 ไร่ 1 งาน 1 ตารางวา ตั้งอยู่ตำบลสามเสนใน อำเภอพญาไท กรุงเทพมหานคร ต่อมาตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2521 เป็นต้นไป บริษัทค้าวัสดุก่อสร้าง จำกัดได้เปลี่ยนแปลงรูปแบบการดำเนินธุรกิจใหม่ จากการประกอบกิจการขายสินค้าในประเทศเป็นบริษัทการค้าระหว่างประเทศ (นำเข้าและส่งออก) และได้เปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น “บริษัทค้าสากลซิเมนต์ไทย”จำกัด โดยโอนกิจการจัดจำหน่ายสินค้าภายในประเทศทั้งหมดให้โจทก์รวมทั้งได้โอนทรัพย์สินที่เป็นอาคารพร้อมที่ดินซึ่งใช้เป็นสถานประกอบกิจการดังกล่าวข้างต้นให้โจทก์เมื่อวันที่ 10มกราคม 2522 โดยตีราคาที่ดินรวม 3,404,100 บาท และอาคารราคา 10,222,472.88 บาท และเมื่อรวมกับราคาทรัพย์สินอื่นรวมรับโอนมาในราคา 62,217,272.29 บาท เมื่อรับโอนกิจการพร้อมทั้งอาคารและที่ดินแล้ว โจทก์ได้ตั้งฝ่ายการตลาดเพื่อขายสินค้าให้แก่ลูกค้าในอาคารที่โจทก์ได้รับโอนมาจนกระทั่งต่อมาในปี 2526 โจทก์ได้ก่อสร้างอาคารสำนักงานใหญ่ที่บางซื่อจึงย้ายฝ่ายการตลาดจากที่ดินและอาคารดังกล่าวมารวมอยู่ที่อาคารสำนักงานบางซื่อและหมดความจำเป็นที่จะต้องใช้ที่ดินและอาคารเดิมต่อไป จึงได้เสนอขายที่ดินและอาคารต่อบุคคลทั่วไปและบริษัทโค้วยู่ฮะมอเตอร์ จำกัด เป็นผู้ซื้อไปในราคา 123,000 บาทเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2527 เห็นว่า แม้บริษัทโจทก์จะจัดตั้งขึ้นมาโดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อประกอบกิจการค้าหรือหากำไรก็ตามแต่การค้าขายโดยปกติของโจทก์เป็นการค้าปูนซิเมนต์และวัสดุอุปกรณ์ต่าง ๆ ในการก่อสร้าง มิใช่เป็นการค้าขายที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างโจทก์ซื้อที่ดินและอาคารมาโดยมีความมุ่งหมายเพื่อใช้เป็นสถานที่ประกอบกิจการค้า ต่อมาเมื่อหมดความจำเป็นจึงขายไปและแม้จะขายได้ราคาสูงกว่าราคาที่ซื้อมาเป็นจำนวนมาก ก็เป็นไปตามปกติของราคาที่ดินและอาคารที่สูงขึ้นตามกาลเวลาของราคาตลาดหาใช่มีลักษณะเป็นทางการค้าหรือหากำไร จึงยังถือไม่ได้ว่าโจทก์ขายที่ดินและอาคารตามฟ้องไปเป็นทางการค้าหรือหากำไรโจทก์จึงไม่ต้องเสียภาษีการค้าตามบัญชีอัตราภาษีการค้าประเภทการค้า 11 แห่งประมวลรัษฎากร
พิพากษายืน

Share