คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2387/2533

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ว. เป็นผู้นำเช็คพิพาทที่จำเลยเป็นผู้สั่งจ่ายไปขายลดให้ธนาคารโจทก์ โจทก์รับซื้อเช็คดังกล่าวไว้ตามข้อตกลงที่ ว.เปิดบัญชีขายลดเช็คไว้กับโจทก์ ส่วนการจ่ายเงินที่ขายลดเช็คพิพาทนั้น ไม่ว่าจ่ายเงินให้แก่ผู้ใดไปก็ตาม ย่อมถือได้ว่าเป็นการจ่ายเงินค่าซื้อลดเช็คพิพาทแล้ว เช็คพิพาทจึงเป็นเช็คที่มีมูลหนี้เมื่อโจทก์นำเช็คพิพาทไปเรียกเก็บเงินแล้วธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน การกระทำของจำเลยย่อมเป็นความผิดฐานออกเช็คโดยเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็ค.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 มาตรา 3 และประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 มาตรา 3 รวม 3 กระทงให้จำคุก กระทงที่ 1 ที่ 3 กระทงละ 6 เดือน กระทงที่ 2 มีกำหนด8 เดือน รวมเป็นจำคุก 1 ปี 8 เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลย นางธีรวัฒน์ เชิดเกียรติกุล นายวิบูลย์ พินิจอักษร และนางอภิราม พินิจอักษร ได้ขอเปิดบัญชีขายลดเช็คและมีสิทธินำเช็คไปขายลดกับธนาคารโจทก์ สาขาหัวหมาก ในวงเงินที่กำหนดไว้ จำเลยได้ออกเช็คพิพาทคดีนี้ แล้วนายวิบูลย์นำไปขายลดให้โจทก์ เมื่อเช็คพิพาทถึงกำหนด โจทก์นำไปเรียกเก็บเงิน ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน ปรากฏตามเช็คพิพาทเอกสารหมาย จ.9, จ.11,จ.13 และใบคืนเช็คเอกสารหมาย จ.10, จ.12, จ.14 ปัญหามีว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้องหรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่านายวิบูลย์เป็นผู้นำเช็คพิพาททั้งสามฉบับที่จำเลยเป็นผู้สั่งจ่ายไปขายลดให้แก่โจทก์และโจทก์รับซื้อเช็คดังกล่าวไว้ตามข้อตกลงที่นายวิบูลย์เปิดบัญชีขายลดเช็คไว้กับโจทก์ ส่วนการจ่ายเงินที่ขายลดเช็คพิพาทนั้น ไม่ว่าจ่ายเงินให้แก่ผู้ใดไปก็ตาม ย่อมถือได้ว่าเป็นการจ่ายเงินค่าซื้อลดเช็คพิพาทแล้ว เช็คพิพาทจึงเป็นเช็คที่มีมูลหนี้เมื่อโจทก์นำเช็คพิพาททั้งสามฉบับไปเรียกเก็บเงินแล้วธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน การกระทำของจำเลยย่อมเป็นความผิดตามฟ้องที่จำเลยนำสืบว่า นายชัชวาล ผู้จัดการของโจทก์ สาขาหัวหมากได้ตกลงกับจำเลยและพวกว่าเมื่อเช็คถึงกำหนดจะไม่นำเช็คไปเรียกเก็บเงิน โดยนางธีรวัฒน์จะนำต้นเงินและดอกเบี้ยมาแลกเช็คกลับคืนไปนั้นปรากฏจากคำเบิกความของจำเลยว่า บางครั้งโจทก์ก็เคยนำเช็คที่ขายลดไปเรียกเก็บเงิน โดยนางธีรวัฒน์จะเป็นคนจัดการนำเงินเข้าบัญชีนอกจากนี้ยังได้ความจากนางอภิราม พยานจำเลยว่าตามธรรมดาแล้วในวันที่เช็คถึงกำหนดนางธีรวัฒน์จะต้องนำเงินสดไปแลกเอาเช็คคืนจากโจทก์ภายในเวลา 10 นาฬิกาแต่ถ้านางธีรวัฒน์ไม่ว่างมีธุระภายหลังเวลา 10 นาฬิกาแล้วนางธีรวัฒน์จะต้องนำเงินไปเข้าบัญชีเพื่อให้เช็คเรียกเก็บเงินได้แสดงว่าเช็คที่มอบให้ไว้ โจทก์ก็เคยนำไปเรียกเก็บเงิน พยานจำเลยจึงไม่อาจรับฟังหักล้างพยานโจทก์ได้…”
พิพากษากลับว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 มาตรา 3 รวม 3 กระทงให้จำคุกระทงที่ 1 ที่ 3 กระทงละ 6 เดือน กระทงที่ 2 จำคุก 8 เดือนรวมเป็นจำคุก 20 เดือน.

Share