คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2380/2535

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีร้องขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดของเจ้าพนักงานบังคับคดีโดยอ้างว่าได้ดำเนินการโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296 วรรคสอง นั้น หากศาลไต่สวนแล้วเห็นว่า การขายทอดตลาดของเจ้าพนักงานบังคับคดีเป็นไปโดยมิชอบก็จะมีคำสั่งให้เพิกถอนการขาย ซึ่งมีผลทำให้เสมือนไม่มีการขาย แม้จะมีการโอนทรัพย์ให้ผู้ซื้อไปแล้ว ก็จะต้องเพิกถอนการโอนนั้นหรือหากผู้ซื้อได้โอนให้แก่บุคคลอื่นก่อนแล้วไม่ว่าจะโอนไปกี่ทอดและไม่ว่าผู้รับโอนจะสุจริตหรือเสียค่าตอบแทนหรือไม่ก็ตาม ก็จะต้องเพิกถอนการโอนหมดเพราะผู้รับโอนไม่มีสิทธิดีกว่าผู้โอน ตราบใดที่ศาลยังไม่มีคำสั่งให้เพิกถอนการขายตราบนั้นก็ยังต้องถือว่าการขายทอดตลาดของเจ้าพนักงานบังคับคดีเป็นไปโดยชอบผู้ซื้อย่อมมีสิทธิรับโอนทรัพย์มาได้และมีสิทธิโอนต่อ ๆ ไปได้ ข้อเท็จจริงปรากฏตามคำฟ้องของโจทก์ว่า โจทก์ยื่นคำร้องในคดีหมายเลขแดงที่ 265/2528ของศาลชั้นต้นขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดที่ดินรายนี้อ้างว่าการขายทอดตลาดของเจ้าพนักงานบังคับคดีเป็นไปโดยมิชอบ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง โจทก์อุทธรณ์ คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ โจทก์มาฟ้องเป็นคดีนี้ เมื่อศาลยังไม่มีคำสั่งให้เพิกถอนการขายทอดตลาดในคดีดังกล่าว จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้ซื้อจากการขายทอดตลาดย่อมมีสิทธิรับโอนที่ดินแปลงนี้ตามคำสั่งศาลและมีสิทธิโอนต่อให้แก่จำเลยที่ 2 เมื่อจำเลยที่ 1 และที่ 2 มีสิทธิรับโอนก็ย่อมไม่เป็นการโต้แย้งสิทธิหรือหน้าที่ของโจทก์แต่อย่างไรและจำเลยที่ 1 ก็ยังมิได้เป็นลูกหนี้ของโจทก์ในการที่จะฟ้องขอให้เพิกถอนการฉ้อฉลได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 237โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 9085 โจทก์นำไปจำนองไว้กับธนาคารกรุงเทพพณิชย์การ จำกัด ต่อมาธนาคารดังกล่าว ฟ้องโจทก์และบังคับคดียึดที่ดินแปลงดังกล่าวมาขายทอดตลาดโดยส่งหมายด้วยวิธีประกาศหนังสือพิมพ์ ทั้ง ๆ ที่ทราบดีว่าโจทก์มีภูมิลำเนาแน่นอน วันที่ 1 กันยายน 2528 ศาลได้ขายที่ดินดังกล่าวให้แก่จำเลยที่ 1 แต่โจทก์เพิ่งทราบว่าถูกฟ้องบังคับจำนองเมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2530 จึงได้ยื่นคำร้องในคดีดังกล่าวขอเพิกถอนการขายทอดตลาดเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2530 ศาลชั้นต้นยกคำร้องโจทก์อุทธรณ์ จำเลยทั้งสองทราบดีว่าการขายทอดตลาดเป็นไปโดยมิชอบจำเลยที่ 1 ขอซื้อมาจากเจ้าพนักงานบังคับคดีในราคาเพียง290,000 บาท โดยไม่มีการประมูลสู้ราคากัน จำเลยทั้งสองทราบดีว่าที่ดินมีราคาจริงไม่น้อยกว่าไร่ละ 80,000 บาท และทราบดีว่าศาลอุทธรณ์ จะมีคำพิพากษาให้เพิกถอนการขายทอดตลาด วันที่ 11ธันวาคม 2530 จำเลยที่ 1 ไปรับโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินตามหนังสือของศาลลงวันที่ 14 กันยายน 2530 แล้วได้จดทะเบียนโอนขายให้จำเลยที่ 2 ในราคา 290,000 บาท ในวันเดียวกันซึ่งเป็นการกระทำโดยไม่สุจริต ไม่ได้ซื้อขายกันจริง เป็นการฉ้อฉลโจทก์ให้เสียเปรียบขอให้เพิกถอนการโอนกรรมสิทธิ์จากโจทก์เป็นของจำเลยที่ 1และการโอนกรรมสิทธิ์ระหว่างจำเลยทั้งสอง หากจำเลยทั้งสองไม่ไปจดทะเบียนการโอนให้ถือคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสอง
ศาลชั้นต้นตรวจฟ้องแล้ววินิจฉัยว่าเป็นฟ้องซ้อนกับคดีที่ขอให้เพิกถอนการขาย พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นรับคำฟ้องของโจทก์ไว้พิจารณา
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองมีว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะจำเลยทั้งสอง มิได้โต้แย้งสิทธิหรือหน้าที่ของโจทก์หรือไม่ เห็นว่าในคดีที่ร้องขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดของเจ้าพนักงานบังคับคดีโดยอ้างว่าได้ดำเนินการโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296วรรคสอง นั้น หากศาลไต่สวนแล้วเห็นว่าการขายทอดตลาดของเจ้าพนักงานบังคับคดีเป็นไปโดยมิชอบก็จะมีคำสั่งให้เพิกถอนการขายซึ่งมีผลทำให้เสมือนไม่มีการขาย แม้จะมีการโอนทรัพย์ให้ผู้ซื้อไปแล้ว ก็จะต้องเพิกถอนการโอนนั้นหรือหากผู้ซื้อได้โอนให้แก่บุคคลอื่นก่อนแล้วไม่ว่าจะโอนไปกี่ทอดและไม่ว่าผู้รับโอนจะสุจริตหรือเสียค่าตอบแทนหรือไม่ก็ตาม ก็จะต้องเพิกถอนการโอนหมดเพราะผู้รับโอนไม่มีสิทธิดีกว่าผู้โอน ตราบใดที่ศาลยังไม่มีคำสั่งให้เพิกถอนการขายตราบนั้นก็ยังต้องถือว่าการขายทอดตลาดของเจ้าพนักงานบังคับคดีเป็นไปโดยชอบ ผู้ซื้อย่อมมีสิทธิรับโอนทรัพย์มาได้ และมีสิทธิโอนต่อ ๆ ไปได้ คดีนี้ข้อเท็จจริงปรากฏตามคำฟ้องของโจทก์ว่า โจทก์ได้ยื่นคำร้องในคดีหมายเลขแดงที่ 265/2528 ของศาลชั้นต้น ขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดที่ดินรายนี้อ้างว่าการขายทอดตลาดของเจ้าพนักงานบังคับคดีเป็นไปโดยมิชอบ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องโจทก์อุทธรณ์ คดีอยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์โจทก์ก็มาฟ้องเป็นคดีนี้ เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าศาลยังไม่มีคำสั่งให้เพิกถอนการขายทอดตลาดในคดีดังกล่าวจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้ซื้อจากการขายทอดตลาดย่อมมีสิทธิรับโอนที่ดินแปลงนี้ตามคำสั่งศาล และมีสิทธิโอนต่อให้แก่จำเลยที่ 2 ดังที่ได้วินิจฉัยข้างต้น เมื่อจำเลยที่ 1และที่ 2 มีสิทธิรับโอนก็ย่อมไม่เป็นการโต้แย้งสิทธิหรือหน้าที่ของโจทก์แต่อย่างไร และจำเลยที่ 1 ก็ยังมิได้เป็นลูกหนี้ของโจทก์ในการที่จะฟ้องขอให้เพิกถอนการฉ้อฉลได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 237 โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์

Share