คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2378/2515

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องจำเลยต่อศาลแขวง ข้อหายักยอกทรัพย์ ศาลแขวงไต่สวนมูลฟ้องแล้วเห็นว่า คดีโจทก์ไม่มีมูลความผิดทางอาญาพิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์ กรณีเช่นนี้คู่ความต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงฯ พ.ศ.2499 มาตรา 22 และพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงฯ (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2503 มาตรา 10 แม้โจทก์จะได้อุทธรณ์และศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงมาก็ไม่ทำให้โจทก์มีอำนาจฎีกาต่อไป

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้รับมอบหมายให้จัดการทรัพย์สินของโจทก์แล้วจำเลยได้บังอาจเบียดบังยักยอกเงิน ซึ่งอยู่ในความครอบครองดูแลรักษาของจำเลยไปเป็นประโยชน์ส่วนตัวโดยเจตนาทุจริต ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352, 353

ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วเห็นว่า คดีโจทก์ยังไม่มีมูลทางอาญาตามฟ้อง พิพากษายกฟ้องโจทก์

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นซึ่งเป็นศาลแขวงได้พิพากษายกฟ้องโจทก์ โดยเห็นว่าคดีของโจทก์ไม่มีมูลทางอาญา คู่ความจึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 มาตรา 22 พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2503 มาตรา 10 โจทก์อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงว่า คดีของโจทก์มีมูล ซึ่งศาลอุทธรณ์ได้พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น เมื่ออุทธรณ์ของโจทก์ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามกฎหมายดังกล่าวแล้ว แม้ศาลอุทธรณ์จะรับวินิจฉัยข้อเท็จจริงมา ก็หาทำให้โจทก์มีสิทธิฎีกาต่อไปแต่อย่างใดไม่

พิพากษายกฎีกาโจทก์

Share