คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2376/2526

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินยึดอำนาจของรัฐได้โดยเด็ดขาดแล้วหัวหน้าคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินเป็นผู้ใช้อำนาจอธิปไตยย่อมมีอำนาจแต่งตั้งและถอดถอนข้าราชการได้คำสั่งหัวหน้าคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ที่ 9/2519 ลงวันที่ 11 ตุลาคม 2519เป็นคำสั่งเกี่ยวเนื่องกับการบริหารราชการแผ่นดิน แม้ก่อนหน้านั้นจะมีคำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินให้บรรดาอำนาจหน้าที่ที่กฎหมายได้บัญญัติไว้ว่าเป็นอำนาจหน้าที่ของนายกรัฐมนตรีหรือคณะรัฐมนตรีให้เป็นอำนาจหน้าที่ของหัวหน้าคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินหรือผู้ที่หัวหน้าคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินมอบหมาย และให้บรรดาอำนาจหน้าที่ที่กฎหมายได้บัญญัติไว้ว่าเป็นอำนาจของรัฐมนตรี ให้เป็นอำนาจของปลัดกระทรวง คำสั่งดังกล่าวก็ไม่ตัดอำนาจของหัวหน้าคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินที่จะสั่งการเป็นกรณีเฉพาะเรื่อง เฉพาะรายตามอำนาจที่มีอยู่ ดังนั้น คำสั่งดังกล่าวจึงเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย
โจทก์เป็นข้าราชการ หัวหน้าคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินมีคำสั่งให้โจทก์ออกจากราชการ โจทก์จะฟ้องขอให้ศาลบังคับให้จำเลยบรรจุโจทก์กลับเข้ารับราชการไม่ได้ เพราะการขอกลับเข้ารับราชการนั้นขึ้นอยู่กับทางราชการว่าต้องการจะรับโจทก์เข้ารับราชการหรือไม่ ตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2518 มาตรา 57

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เดิมโจทก์รับราชการเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญระดับ 11 หัวหน้าคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินได้มีคำสั่งที่ 9/2519ลงวันที่ 11 ตุลาคม 2519 ให้โจทก์ออกจากราชการโดยโจทก์มิได้กระทำผิดวินัย คำสั่งดังกล่าวจึงขัดต่อกฎหมายและเป็นโมฆะ ขอให้พิพากษาว่าคำสั่งดังกล่าวเป็นโมฆะ และให้จำเลยบรรจุและแต่งตั้งโจทก์เข้าดำรงตำแหน่งตามเดิม

ศาลชั้นต้นตรวจคำฟ้องแล้ว พิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า คำสั่งหัวหน้าคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินที่ 9/2519 จะชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ต้องฟังข้อเท็จจริงเสียก่อนว่า ได้มีการปฏิบัติตามขั้นตอนตามมาตรา 86, 86 ทวิ และ 87 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2518 หรือไม่ พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 2 ให้ศาลชั้นต้นรับคำฟ้องเฉพาะที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 2 แล้วพิพากษาใหม่ตามรูปความ ส่วนคำขอของโจทก์ที่ขอให้พิพากษาว่าคำสั่งที่ 9/2519 เป็นโมฆะนั้น ให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยชี้ขาดไปตามแนวคำวินิจฉัยในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

โจทก์และจำเลยที่ 2 ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า พิเคราะห์แล้ว คดีมีปัญหาว่าคำสั่งหัวหน้าคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ที่ 9/2519 ลงวันที่ 11 ตุลาคม 2519 เป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่าเมื่อคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินยึดอำนาจของรัฐได้โดยเด็ดขาดแล้ว หัวหน้าคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินเป็นผู้ใช้อำนาจอธิปไตยย่อมมีอำนาจแต่งตั้งและถอดถอนข้าราชการได้ คำสั่งหัวหน้าคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ที่ 9/2519 ลงวันที่ 11 ตุลาคม 2519 เป็นคำสั่งเกี่ยวเนื่องกับการบริหารราชการแผ่นดิน แม้ก่อนหน้านั้นจะมีคำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินให้บรรดาอำนาจหน้าที่ที่กฎหมายได้บัญญัติไว้ว่าเป็นอำนาจหน้าที่ของนายกรัฐมนตรีหรือคณะรัฐมนตรีให้เป็นอำนาจหน้าที่ของหัวหน้าคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินหรือผู้ที่หัวหน้าคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินมอบหมาย และให้บรรดาอำนาจหน้าที่ที่กฎหมายได้บัญญัติไว้ว่าเป็นอำนาจของรัฐมนตรีให้เป็นอำนาจของปลัดกระทรวง คำสั่งดังกล่าวก็ไม่ตัดอำนาจของหัวหน้าคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินที่จะสั่งการเป็นกรณีเฉพาะเรื่อง เฉพาะรายตามอำนาจที่มีอยู่ ดังนั้น คำสั่งหัวหน้าคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ที่ 9/2519 ลงวันที่ 11 ตุลาคม 2519 เรื่องให้ข้าราชการพลเรือนออกจากราชการและแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนซึ่งสั่งให้โจทก์ออกจากราชการด้วยนั้นจึงเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย

ที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยที่ 1 ละเว้นการปฏิบัติตามหน้าที่ทำให้โจทก์เสียหาย เป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์นั้น เห็นว่าการขอกลับเข้ารับราชการขึ้นอยู่กับทางราชการต้องการจะรับโจทก์เข้ารับราชการหรือไม่ ตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2518 มาตรา 57 ดังนั้น โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องให้ศาลบังคับให้จำเลยที่ 1 บรรจุโจทก์กลับเข้ารับราชการ

พิพากษาแก้เป็นว่า ยกฟ้องจำเลยที่ 2 ด้วย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share