คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2375/2529

แหล่งที่มา : สำนักงาน ส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ในการทำสัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์กับจำเลยส.กรรมการบริษัทจำเลยเพียงคนเดียวลงชื่อในสัญญาประนีประนอมยอมความแทนจำเลยซึ่งเป็นการไม่ชอบด้วยข้อบังคับของจำเลยที่ต้องมีกรรมการของจำเลยตามที่ระบุชื่อไว้ในข้อบังคับจำนวนสองคนร่วมกันลงลายมือชื่อและประทับตราสำคัญของบริษัทด้วยสัญญาประนีประนอมยอมความย่อมไม่สมบูรณ์ไม่มีผลผูกพันจำเลยการที่โจทก์ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับส. และศาลแรงงานกลางได้พิพากษาตามยอมนั้นจึงเป็นการกระทำโดยละเมิดต่อบทบัญญัติแห่งกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนตามป.วิ.พ.มาตรา138วรรคสอง(2)ไม่มีผลบังคับ.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยจ้างโจทก์เป็นลูกจ้างประจำ ต่อมาจำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยไม่มีความผิด ไม่บอกกล่าวล่วงหน้าและไม่จ่ายค่าชดเชย ขอให้บังคับจำเลยจ่ายค่าเสียหายเนื่องจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าชดเชย ค่าจ้างซึ่งจ่ายต่ำกว่ากำหนดค่าจ้างขั้นต่ำ และค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีพร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์เป็นเพราะโจทก์นำความลับของจำเลยไปเปิดเผยเป็นการทุจริตต่อหน้าที่โดยเจตนาและจงใจทำให้จำเลยได้รับความเสียหายอันเป็นการฝ่าฝืนต่อระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยอย่างร้ายแรง จำเลยจึงมีสิทธิเลิกจ้างโจทก์ได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและถือไม่ได้ว่าเป็นการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม ขอให้ยกฟ้องโจทก์
วันนัดสืบพยานโจทก์ ทนายโจทก์และนายสมชาติ วิวรรธน์ภาสกรผู้จัดการของจำเลยมาศาล และแถลงร่วมกันว่า คดีตกลงกันได้ ขอให้ศาลแรงงานกลางทำสัญญาประนีประนอมยอมความให้ ศาลแรงงานกลางจึงทำสัญญาประนีประนอมยอมความให้แก่คู่ความและมีคำพิพากษาไปตามยอมนั้นแล้ว
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า “จำเลยอุทธรณ์ว่า ตามระเบียบข้อบังคับของจำเลยกำหนดให้กรรมการจำนวนสองคนในสี่คนตามบัญชีรายชื่อแนบท้ายฟ้องอุทธรณ์เท่านั้นที่มีอำนาจลงลายมือชื่อแทนบริษัทจำเลยและต้องประทับตราสำคัญของบริษัทจำเลยด้วย ตามข้อเท็จจริงคดีนี้ปรากฏว่านายสมชาติ วิวรรธน์ภาสกร ซึ่งเป็นผู้จัดการของบริษัทจำเลยเพียงผู้เดียวเป็นผู้ตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับโจทก์โดยมิใช่เป็นผู้มีอำนาจหรือได้รับมอบอำนาจจากจำเลยโดยชอบ การกระทำของนายสมชาติไม่ชอบด้วยระเบียบข้อบังคับของจำเลย ทั้งจำเลยมีเจตนาที่จะต่อสู้คดี ไม่ประสงค์จะประนีประนอมยอมความกับโจทก์ สัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามยอมจึงไม่มีผลผูกพันจำเลย ขอให้ศาลฎีกายกคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง และให้ดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป
ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ตามข้อบังคับของจำเลยซึ่งจดทะเบียนต่อสำนักงานทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกรุงเทพมหานคร กรมทะเบียนการค้า กระทรวงพาณิชย์ ได้กำหนดจำนวนกรรมการหรือชื่อกรรมการซึ่งลงชื่อผูกพันบริษัทไว้ว่า “นายธวัช วงศ์รัตนานุกูล นายฐิตพรมีสมมนต์ นายสมชาติ วิวรรธน์ภาสกร นายเดชา ทิพย์ภวัง สองในสี่คนนี้ลงลายมือชื่อ และประทับตราสำคัญของบริษัท” ซึ่งหมายความว่าสัญญาหรือนิติกรรมใด ๆ จะผูกพันจำเลยต่อเมื่อมีกรรมการของจำเลยตามที่ระบุชื่อดังกล่าวจำนวนสองคนร่วมกันลงลายมือชื่อและประทับตราสำคัญของบริษัทด้วย กรรมการคนหนึ่งคนใดโดยลำพังหามีอำนาจลงลายมือชื่อในเอกสารให้มีผลผูกพันจำเลยได้ไม่ ข้อเท็จจริงคดีนี้ปรากฏว่าในการทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับโจทก์นั้น นายสมชาติ วิวรรธน์ภาสกรกรรมการเพียงคนเดียวลงชื่อในสัญญาประนีประนอมยอมความแทนจำเลยซึ่งเป็นการไม่ชอบด้วยข้อบังคับของจำเลยสัญญาประนีประนอมยอมความย่อมไม่สมบูรณ์ ไม่มีผลผูกพันจำเลย การที่โจทก์ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับนายสมชาติ วิวรรธน์ภาสกร และศาลแรงงานกลางได้พิพากษาตามยอมนั้นจึงเป็นการกระทำโดยละเมิดต่อบทบัญญัติแห่งกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 138 วรรค สอง(2) ไม่มีผลบังคับ”
พิพากษายกคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง ให้ศาลแรงงานกลางดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป และพิพากษาไปตามรูปคดี.

Share