คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2372/2539

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

สำเนาภาพถ่ายสัญญาค้ำประกันท้ายฟ้องไม่มีต้นฉบับไม่ใช่ต้นฉบับสูญหายดังที่โจทก์อ้างและสำเนาสัญญาค้ำประกันที่อ้างส่งศาลก็มิใช่ต้นฉบับที่เป็นคู่ฉบับลายมือชื่อผู้ค้ำประกันในช่องผู้ค้ำประกันของเอกสารดังกล่าวไม่ใช่ลายมือชื่อของจำเลยที่2ดังนี้เมื่อจำเลยที่2ไม่ได้ทำสัญญาค้ำประกันตามสำเนาเอกสารท้ายฟ้องและสัญญาค้ำประกันที่ส่งศาลโจทก์จะอ้างเอกสารดังกล่าวเป็นหลักฐานในคดีนี้หาได้ไม่ถือได้ว่าโจทก์ไม่มีพยานหลักฐานเป็นหนังสือที่จะฟ้องร้องบังคับจำเลยที่2ให้รับผิดในฐานะผู้ค้ำประกันได้ โจทก์กล่าวอ้างมาในคำฟ้องว่าจำเลยที่2ทำสัญญาค้ำประกันไว้กับโจทก์จำเลยที่2ต่อสู้คดีปฏิเสธว่าจำเลยที่2ไม่ได้ทำสัญญาค้ำประกันตามที่โจทก์กล่าวอ้างลายมือชื่อของจำเลยที่2ในสำเนาภาพถ่ายสัญญาค้ำประกันเป็นลายมือชื่อจำเลยที่2ปลอมจำเลยที่2จึงต้องนำสืบความเห็นผู้เชี่ยวชาญเมื่อจำเลยที่2เสียค่าใช้จ่ายในการตรวจพิสูจน์ไปเท่าใดศาลก็มีอำนาจใช้ดุลพินิจให้คู่ความฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดรับผิดในค่าใช้จ่ายส่วนนี้ได้เพราะเป็นค่าธรรมเนียมของผู้เชี่ยวชาญในการตรวจพิสูจน์เอกสารตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา129(2)แม้ค่าธรรมเนียมดังกล่าวจะมิได้กำหนดไว้ในตาราง1ถึง6ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งก็ตามแต่ก็ถือว่าเป็นค่าธรรมเนียมอื่นที่กฎหมายบังคับให้ต้องเสียตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา161วรรคสอง ตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นจำเลยที่2ขอให้ศาลชั้นต้นส่งเอกสารอื่นกับสำเนาภาพถ่ายสัญญาค้ำประกันเอกสารท้ายฟ้องที่โจทก์นำมาฟ้องและสัญญาค้ำประกันไปให้ผู้เชี่ยวชาญกองพิสูจน์หลักบานกรมตำรวจตรวจพิสูจน์ลายมือชื่อว่าเป็นลายมือชื่อของคนคนเดียวกันหรือไม่ศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งให้ส่งเอกสารไปให้ผู้เชี่ยวชาญกองพิสูจน์หลักฐานกรมตำรวจตรวจพิสูจน์ดังจำเลยที่2แถลงไว้ดังนี้ถือว่าศาลชั้นต้นมีคำสั่งตั้งผู้เชี่ยวชาญตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา99แล้วและการกำหนดความรับผิดในค่าฤชาธรรมเนียมสำหรับคู่ความนั้นศาลมีอำนาจใช้ดุลพินิจโดยคำนึงถึงเหตุผลสมควรและความสุจริตในการต่อสู้คดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา161วรรคแรกไม่ว่าคู่ความฝ่ายใดจักมีคำขอหรือไม่ก็ให้ศาลสั่งในเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา167วรรคแรกคดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นให้โจทก์ชนะคดีไม่เต็มจำนวนทุนทรัพย์ที่ฟ้องแม้จำเลยที่2จะมิได้อุทธรณ์ขอให้ศาลอุทธรณ์แก้ไขในเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมก็ตามแต่ศาลอุทธรณ์มีอำนาจที่จะสั่งแก้ไขค่าฤชาธรรมเนียมส่วนใดส่วนหนึ่งได้ถ้าหากเห็นเป็นการสมควรที่ศาลอุทธรณ์ใช้ดุลพินิจกำหนดให้โจทก์รับผิดในค่าธรรมเนียมของผู้เชี่ยวชาญในการตรวจพิสูจน์เอกสารนั้นชอบแล้ว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ใช้เงินจำนวน2,692,098.76 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ14.5 ต่อปี จากต้นเงิน 938,326.55 บาท และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี จากต้นเงิน 1,000,000 บาท นับจากวันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยที่ 2ร่วมกับจำเลยที่ 1 ชำระหนี้จำนวน 1,670,273.97 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี จากต้นเงิน1,000,000 บาท นับจากวันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ เพื่อให้จำเลยที่ 1 ไถ่ถอนจำนองสิ่งปลูกสร้างเลขที่ 83/8 หมู่ที่ 6 ถนนบางบอน-ชายทะเล แขวงแสมดำเขตบางขุนเทียน กรุงเทพมหานคร และให้จำเลยที่ 2 ไถ่ถอนจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 37217 แขวงแสมดำ (บางบอน)เขตบางขุนเทียน กรุงเทพมหานคร หากจำเลยไม่ชำระหนี้ดังกล่าวให้โจทก์ยึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดชำระหนี้ ถ้าได้เงินสุทธิไม่พอชำระให้จำเลยทั้งสองรับผิดชดใช้ส่วนที่ยังขาดให้ครบถ้วน
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 2 ให้การต่อสู้คดี ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณา จำเลยที่ 2 ขอให้ศาลชั้นต้นจัดส่งเอกสารอื่นกับสำเนาภาพถ่ายสัญญาค้ำประกันเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 7 สัญญาค้ำประกันเอกสารหมาย จ.15ไปให้ผู้เชี่ยวชาญกองพิสูจน์หลักฐานกรมตำรวจ ตรวจพิสูจน์ลายมือชื่อของจำเลยที่ 2 ผลการตรวจพิสูจน์ปรากฏอยู่ในสำนวนความ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน2,692,098.76 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 14.5 ต่อปีจากต้นเงิน 781,532.18 บาท และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปีจากต้นเงิน 1,000,000 บาท นับจากวันฟ้อง ไปจนกว่าจะชำระเสร็จ และไถ่ถอนจำนองสิ่งปลูกสร้างเลขที่ 83/8หมู่ที่ 6 ถนนบางบอน-ชายทะเล แขวงแสมดำ(บางบอน)เขตบางขุนเทียน กรุงเทพมหานคร ตามหนังสือสัญญาจำนองสิ่งปลูกสร้างเป็นประกันเอกสารหมาย จ.13ด้วยการชำระหนี้ดังกล่าวข้างต้น ให้จำเลยที่ 2 ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ชำระเงินแก่โจทก์ตามตั๋วสัญญาใช้เงินและสัญญารับชำระหนี้และดอกเบี้ยรวมเป็นเงิน 1,670,273.97 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี จากต้นเงิน1,000,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จและไถ่ถอนจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 37217 แขวงแสมดำ (บางบอน)เขตบางขุนเทียน กรุงเทพมหานคร ตามหนังสือสัญญาจำนองที่ดินเอกสารหมาย จ.14 ด้วยการชำระหนี้ดังกล่าวข้างต้นหากจำเลยทั้งสองไม่ชำระหนี้ ให้โจทก์ยึดสิ่งปลูกสร้างเลขที่ 83/8 และที่ดินดังกล่าวออกขายทอดตลาดชำระหนี้จำนองตามสัญญาจำนอง ถ้าได้เงินไม่พอชำระให้จำเลยรับผิดชดใช้ส่วนที่ขาดจนครบถ้วน ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 20,000 บาท
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 2 ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ชำระเงินจำนวน 50,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันจดทะเบียนจำนองที่ดินวันที่ 28 สิงหาคม 2528 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์เฉพาะจำเลยที่ 2 ให้ร่วมกับจำเลยที่ 1 ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมสองศาลแทนโจทก์ตามจำนวนทุนทรัพย์ที่จำเลยที่ 2 ต้องรับผิดตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ส่วนค่าตรวจพิสูจน์เอกสารให้โจทก์เป็นผู้ชำระ กำหนดค่าทนายความรวม 2,000 บาท คืนค่าขึ้นศาลที่เสียเกินมาให้แก่จำเลยที่ 2 นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่าจำเลยที่ 2 ได้ทำสัญญาค้ำประกันตามสำเนาภาพถ่ายสัญญาค้ำประกันเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 7 หรือไม่ในปัญหาดังกล่าวนี้ พยานหลักฐานของจำเลยที่ 2 มีน้ำหนักดีกว่าพยานหลักฐานของโจทก์ น่าเชื่อว่า สำเนาภาพถ่ายสัญญาค้ำประกันท้ายฟ้องหมายเลข 7 ไม่มีต้นฉบับ ไม่ใช่ต้นฉบับสูญหายดังที่โจทก์อ้างและสัญญาค้ำประกันเอกสารหมาย จ.15ก็มิใช่ต้นฉบับที่เป็นคู่ฉบับ ลายมือชื่อผู้ค้ำประกันในช่องผู้ค้ำประกันของเอกสารดังกล่าวไม่ใช่ลายมือชื่อของจำเลยที่ 2กล่าวโดยสรุปแล้วข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยที่ 2ไม่ได้ทำสัญญาค้ำประกันตามสำเนาเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 7 และสัญญาค้ำประกันเอกสารหมาย จ.15 โจทก์จะอ้างเป็นหลักฐานในคดีนี้หาได้ไม่ ถือได้ว่าโจทก์ไม่มีพยานหลักฐานเป็นหนังสือที่จะฟ้องร้องบังคับจำเลยที่ 2ให้รับผิดในฐานะผู้ค้ำประกันได้ ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าจำเลยที่ 2 ไม่ได้ทำสัญญาค้ำประกันหนี้สินทุกประเภทของจำเลยที่ 1ภายในวงเงิน 1,000,000 บาท ตามสำเนาภาพถ่ายสัญญาค้ำประกันเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 7
ที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยที่ 2 มิได้อุทธรณ์ขอให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยเกี่ยวกับความรับผิดในเรื่องค่าธรรมเนียมของผู้เชี่ยวชาญในการตรวจพิสูจน์เอกสาร ค่าธรรมเนียมดังกล่าว มิได้กำหนดไว้ตามตาราง 1 ถึง 6 ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง อีกทั้งการตรวจพิสูจน์มิได้กระทำโดยผู้เชี่ยวชาญที่ศาลแต่งตั้ง ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยให้โจทก์รับผิดในค่าธรรมเนียมดังกล่าวไม่ชอบนั้นเห็นว่าโจทก์กล่าวอ้างมาในคำฟ้องว่า จำเลยที่ 2ทำสัญญาค้ำประกันไว้กับโจทก์ จำเลยที่ 2 ต่อสู้คดีปฏิเสธว่าจำเลยที่ 2 ไม่ได้ทำสัญญาค้ำประกันตามที่โจทก์กล่าวอ้างลายมือชื่อของจำเลยที่ 2 ในสำเนาภาพถ่ายสัญญาค้ำประกันเป็นลายมือชื่อจำเลยที่ 2 ปลอม จำเลยที่ 2 จึงต้องนำสืบความเห็นผู้เชี่ยวชาญ จำเลยที่ 2 เสียค่าใช้จ่ายในการตรวจพิสูจน์ไปเท่าใด ศาลมีอำนาจใช้ดุลพินิจให้คู่ความฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดรับผิดในค่าใช้จ่ายส่วนนี้ได้ เพราะเป็นค่าธรรมเนียมของผู้เชี่ยวชาญในการตรวจพิสูจน์เอกสารตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 129(2) แม้ค่าธรรมเนียมดังกล่าวจะมิได้กำหนดไว้ในตาราง 1 ถึง 6ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งก็ตาม แต่ก็ถือว่าเป็นค่าธรรมเนียมอื่นที่กฎหมายบังคับให้ต้องเสียตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 161 วรรคสอง ส่วนที่โจทก์ฎีกาว่าการตรวจพิสูจน์เอกสารดังกล่าวมิได้กระทำโดยผู้เชี่ยวชาญที่ศาลแต่งตั้งนั้น เห็นว่าตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นวันที่ 26 มีนาคม 2535 จำเลยที่ 2 ขอให้ศาลชั้นต้นส่งเอกสารอื่นกับสำเนาภาพถ่ายสัญญาค้ำประกันเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 7 ที่โจทก์นำมาฟ้อง สัญญาค้ำประกันเอกสารหมาย จ.15 ไปให้ผู้เชี่ยวชาญกองพิสูจน์หลักฐานกรมตำรวจ ตรวจพิสูจน์ลายมือชื่อว่า เป็นลายมือชื่อของคนคนเดียวกันหรือไม่ศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งให้ส่งเอกสารไปให้ผู้เชี่ยวชาญกองพิสูจน์หลักฐาน กรมตำรวจ ตรวจพิสูจน์ดังจำเลยที่ 2แถลงไว้ ดังนี้ถือว่า ศาลชั้นต้นมีคำสั่งตั้งผู้เชี่ยวชาญ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 99 แล้ว ส่วนที่โจทก์ฎีกาขอให้ค่าธรรมเนียมส่วนนี้ตกเป็นพับแก่จำเลยที่ 2 นั้นเห็นว่า การกำหนดความรับผิดในเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมสำหรับคู่ความนั้น ศาลมีอำนาจใช้ดุลพินิจโดยคำนึงถึงเหตุผลสมควรและความสุจริตในการต่อสู้คดี ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 161 วรรคแรกไม่ว่าคู่ความฝ่ายใดจักมีคำขอหรือไม่ ก็ให้ศาลสั่งในเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 167 วรรคแรก คดีนี้ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นให้โจทก์ชนะคดีไม่เต็มจำนวนทุนทรัพย์ที่ฟ้อง แม้จำเลยที่ 2 จะมิได้อุทธรณ์ขอให้ศาลอุทธรณ์แก้ไขในเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมก็ตามแต่ศาลอุทธรณ์มีอำนาจที่จะสั่งแก้ไขค่าฤชาธรรมเนียมส่วนใดส่วนหนึ่งได้ ถ้าหากเห็นเป็นการสมควร ที่ศาลอุทธรณ์ใช้ดุลพินิจกำหนดให้โจทก์รับผิดในค่าธรรมเนียมของผู้เชี่ยวชาญในการตรวจพิสูจน์เอกสารนั้นชอบแล้ว
พิพากษายืน ให้โจทก์ใช้ค่าทนายความชั้นฎีกา1,500 บาท แทนจำเลยที่ 2

Share