คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2365/2537

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

อุทธรณ์ของโจทก์ที่ว่า เมื่อศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าจำเลยได้ทำให้ทรัพย์ของโจทก์เสียหายก็เข้าองค์ประกอบความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 358 แล้ว ไม่ใช่ต้องถึงขนาดเป็นการกระทำโดยแกล้งให้เสียหายโดยไม่มีเหตุผลนั้น เมื่อข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติแล้วว่าจำเลยไม่ได้มีเจตนากระทำผิด จึงเป็นข้อกฎหมายที่ไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย เพราะแม้ศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยให้ก็ไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลงไป

ย่อยาว

โจทก์ฟ้อง ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 59, 83, 358
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีไม่มีมูล พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกอุทธรณ์โจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่โจทก์ฎีกาว่าอุทธรณ์ของโจทก์เป็นอุทธรณ์ที่ไม่ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ เนื่องจากเป็นปัญหาข้อกฎหมายทั้งเป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย แต่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยจึงเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น เห็นว่าคดีนี้ศาลชั้นต้นยกฟ้องโดยวินิจฉัยว่า จำเลยมิได้มีเจตนาจะแกล้งทำลายทรัพย์ของโจทก์ให้ชำรุดเสียหาย จึงเท่ากับว่าศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานโจทก์แล้ววินิจฉัยว่า จำเลยไม่มีเจตนาทำให้เสียทรัพย์ การที่โจทก์อุทธรณ์ว่าจำเลยมีเจตนาทำให้เสียทรัพย์จึงเป็นการโต้แย้งการรับฟังพยานหลักฐานของศาลชั้นต้น ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ส่วนที่โจทก์ฎีกามาอีกประการหนึ่งว่าเมื่อศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าจำเลยได้ทำให้ทรัพย์ของโจทก์เสียหายก็เข้าองค์ประกอบความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 358 แล้วไม่ใช่ต้องถึงขนาดเป็นการกระทำโดยแกล้งให้เสียหายโดยไม่มีเหตุผลถือได้ว่าอุทธรณ์ของโจทก์เป็นปัญหาข้อกฎหมายและเป็นสาระแก่คดีนั้นเห็นว่า ข้ออ้างเป็นข้อกฎหมายของโจทก์ย่อมต้องอาศัยข้อเท็จจริงเพื่อการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมาย เมื่อข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติแล้วว่าจำเลยไม่ได้มีเจตนากระทำผิดตามฟ้อง ดังนี้แม้จะเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมาย แต่ก็เป็นข้อกฎหมายที่ไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย เพราะแม้ศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยให้ตามอุทธรณ์ของโจทก์ในข้อนี้ก็ไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลงไปที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกอุทธรณ์ของโจทก์นั้นชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share