คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2358/2548

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโดยฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยมิใช่บุคคลผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัว โจทก์มิได้อุทธรณ์ ข้อเท็จจริงที่ว่าจำเลยมิใช่บุคคลผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัวจึงยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น การที่จำเลยฎีกาว่าจำเลยมิได้เป็นหนี้โจทก์และโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง แม้จะพิจารณาปัญหาตามฎีกาของจำเลยก็ไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลงไป จึงไม่จำต้องวินิจฉัย ส่วนปัญหาว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์หรือไม่ จะต้องไปว่ากันในคดีแพ่งต่อไป

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาดและพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลาย
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า นายบรรเจิดมอบอำนาจช่วงให้นายอาภากรณ์เป็นผู้ฟ้องคดีแทนโจทก์โดยชอบแล้ว โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง โจทก์บังคับขายหลักทรัพย์ของจำเลยและนำเงินที่ได้จากการขายกับเงินปันผลมาชำระหนี้ที่จำเลยค้างชำระแก่โจทก์แล้ว จำเลยมียอดหนี้ขายขาดทุนค้างชำระแก่โจทก์เป็นเงิน 12,825,698.77 บาท พร้อมดอกเบี้ยในแต่ละวันที่ขายขาดทุนในอัตราร้อยละ 21 ต่อปี จนถึงวันฟ้อง รวมเป็นต้นเงินและดอกเบี้ยจำนวน 14,345,900.49 บาท หนี้ดังกล่าวกำหนดจำนวนได้แน่นอนและถึงกำหนดชำระแล้ว แต่จำเลยมีทรัพย์มากกว่าหนี้เงินจำนวนที่โจทก์อ้างเป็นเหตุฟ้องจำเลยล้มละลาย จำเลยจึงมิใช่บุคคลผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัวตามที่โจทก์ฟ้อง พิพากษายกฟ้อง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์แผนกคดีล้มละลายวินิจฉัยว่า ประเด็นสำคัญแห่งคดีนี้มีอยู่ว่าจำเลยซึ่งถูกฟ้องขอให้ล้มละลายเป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัวและมีเหตุอื่นที่ไม่ควรให้จำเลยเป็นบุคคลล้มละลายหรือไม่ เมื่อศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยมิใช่บุคคลผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัว คดีจึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องวินิจฉัยถึงมูลหนี้ที่โจทก์นำมาฟ้องเป็นคดีนี้ว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์อันอาจกำหนดจำนวนได้โดยแน่นอนเพียงใดอีก การที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์ซึ่งอาจกำหนดจำนวนได้โดยแน่นอนจำนวน 14,345,900.49 บาท จึงเป็นการวินิจฉัยเกินเลยไปในประเด็นที่ไม่จำต้องยกขึ้นชี้ขาดดังกล่าว ทั้งหาทำให้ผลแห่งคำพิพากษาคดีนี้เปลี่ยนแปลงไปไม่ แล้วพิพากษายืนในผลที่ให้ยกฟ้องโจทก์
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีล้มละลายวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า ศาลอุทธรณ์สมควรวินิจฉัยว่าจำเลยไม่ได้เป็นหนี้โจทก์และโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องหรือไม่ เห็นว่า ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าจำเลยมียอดหนี้ค้างชำระแก่โจทก์เป็นเงิน 12,825,698.77 บาท พร้อมดอกเบี้ย แต่ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องเพราะเห็นว่าจำเลยมีทรัพย์มากกว่าหนี้เงินจำนวนที่โจทก์อ้างเป็นเหตุฟ้องจำเลยล้มละลาย จำเลยจึงมิใช่บุคคลผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัวตามที่โจทก์ฟ้อง ซึ่งโจทก์มิได้อุทธรณ์ การที่จำเลยอุทธรณ์ว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องและจำเลยไม่ได้เป็นหนี้โจทก์นั้น เมื่อข้อเท็จจริงฟังยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นว่าจำเลยมิใช่บุคคลผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัว การที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยไม่ได้เป็นหนี้โจทก์และโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องนั้น แม้จะพิจารณาปัญหาตามฎีกาของจำเลยดังกล่าวก็ไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลงไป ส่วนปัญหาว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์หรือไม่จะต้องไปว่ากันในคดีแพ่งต่อไป ที่ศาลอุทธรณ์ไม่วินิจฉัยอุทธรณ์จำเลยในเรื่องที่ว่าจำเลยไม่ได้เป็นหนี้โจทก์และโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจึงชอบแล้ว
พิพากษายืน.

Share