คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 235/2546

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์เคยนำสัญญาที่จำเลยยอมให้โจทก์ใช้ใบอนุญาตให้ตั้งบ่อนการพนันและจัดให้มีการเล่นการพนันประเภทชนไก่และกัดปลาที่จำเลยได้รับใบอนุญาตมาฟ้องต่อศาลในคดีก่อน คดีถึงที่สุดตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นว่าสัญญาดังกล่าวตกเป็นโมฆะ การที่โจทก์นำสัญญาดังกล่าวมาฟ้องกล่าวหาจำเลยว่าผิดสัญญาดังกล่าวและบังคับให้จำเลยคืนเงินมัดจำที่รับไปจากโจทก์เพื่อให้ศาลวินิจฉัยคดีในประเด็นเดียวกันนั้นซ้ำอีก ฟ้องโจทก์คดีนี้จึงเป็นฟ้องซ้ำกับคดีก่อนต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกฟ้องโจทก์โดยไม่ได้สั่งเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมไม่ชอบ เพราะคำสั่งในเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมแม้จะไม่มีคำขอของคู่ความฝ่ายใดก็เป็นหน้าที่ของศาลจะต้องสั่งลงไว้ในคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 167 วรรคหนึ่ง แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดยกขึ้นกล่าวอ้าง ศาลฎีกามีอำนาจแก้ไขให้ถูกต้องได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน ๑๒๑,๒๖๗.๗๕ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจำเลยจะชำระเสร็จ
จำเลยยื่นคำให้การว่า สัญญาต่างตอบแทนตามฟ้องเป็นนิติกรรมที่กระทำขึ้นเพื่อเลี่ยงกฎหมาย และระเบียบของกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการพนันชนไก่และกัดปลาข้อ ๓ ซึ่งห้ามจำเลยผู้รับอนุญาตโอนใบอนุญาตให้ผู้อื่นนำไปใช้ประโยชน์ จึงตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๐ ไม่มีผลผูกพันจำเลยดังสำเนาคำพิพากษาของศาลชั้นต้น คดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๕๔๓/๒๕๔๓ โจทก์ฟ้องคดีนี้จึงเป็นฟ้องซ้ำกับฟ้องโจทก์คดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๕๔๓/๒๕๔๓ ซึ่งถึงที่สุดแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นสอบถามข้อเท็จจริงทั้งสองฝ่ายแถลงรับกันว่า ก่อนฟ้องคดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยตามสัญญาให้ใช้ใบอนุญาตให้ตั้งบ่อนการพนันและจัดให้มีการพนันประเภทชนไก่และกัดปลา ซึ่งศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าสัญญาดังกล่าวมีวัตถุประสงค์ขัดต่อกฎหมายตกเป็นโมฆะและคดีถึงที่สุด ตามสำนวนคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๕๔๓/๒๕๔๓ ของศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นจึงสั่งงดสืบพยาน และเห็นว่าฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นฟ้องซ้ำกับฟ้องโจทก์คดีดังกล่าว จึงมีคำสั่งยกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกาโดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๒๓ ทวิ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า… พิเคราะห์แล้ว ตามข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นรับฟังมาได้ความว่า จำเลยได้รับอนุญาตให้ตั้งบ่อนและจัดให้มีการเล่นการพนันประเภทชนไก่และกัดปลาตามระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการเล่นการพนันประเภทชนไก่และกัดปลา พุทธศักราช ๒๕๒๕ เมื่อวันที่ ๗ ตุลาคม ๒๕๔๑ โจทก์จำเลยทำสัญญาให้ใช้ใบอนุญาตให้ตั้งบ่อนและจัดให้มีการเล่นการพนันประเภทชนไก่และกัดปลา โดยจำเลยตกลงให้โจทก์ได้ใช้ใบอนุญาตให้ตั้งบ่อน และจัดให้มีการเล่นการพนันประเภทชนไก่และกัดปลาของจำเลยและโจทก์ตกลงจะให้ค่าตอบแทนแก่จำเลยปีละ ๑๐๐,๐๐๐ บาท ในวันทำสัญญาจำเลยได้รับเงินมัดจำ ๑๐๐,๐๐๐ บาท จากโจทก์ครบถ้วน ต่อมาวันที่ ๒๘ ธันวาคม ๒๕๔๓ โจทก์ฟ้องกล่าวหาจำเลยว่า จำเลยผิดสัญญาโดยไม่ดำเนินการขอย้ายสถานที่ตั้งบ่อนและจัดให้มีการเล่นการพนันประเภทชนไก่และกัดปลาในที่ดินของโจทก์ โจทก์เสียหายเพราะลงทุนสร้างบ่อนไก่และอาคารสถานที่ไว้เพื่อการดังกล่าวเป็นเงิน ๑,๓๐๐,๐๐๐ บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน ๑,๓๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี จำเลยยื่นคำให้การต่อสู้คดีว่า สัญญาที่โจทก์นำมาฟ้องมีวัตถุประสงค์ขัดต่อกฎหมายตกเป็นโมฆะเช่นเดียวกับคดีนี้ ซึ่งศาลชั้นต้นวินิจฉัยในประเด็นข้อพิพาท ข้อ ๒ ว่า สัญญให้ใช้ใบอนุญาตให้ตั้งบ่อนและจัดให้มีการเล่นการพนันประเภทชนไก่และกัดปลาที่โจทก์นำมาฟ้องตกเป็นโมฆะ คดีถึงที่สุดตามสำเนาคำพิพากษาคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๕๔๓/๒๕๔๓ ของศาลชั้นต้น ดังนั้นที่โจทก์นำสัญญาให้ใช้ใบอนุญาตให้ตั้งบ่อนการพนันและจัดให้มีการเล่นการพนันประเภทชนไก่และกัดปลาที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยเป็นที่สุดแล้วว่าตกเป็นโมฆะมาฟ้องกล่าวหาจำเลยว่าผิดสัญญาและบังคับให้จำเลยคืนเงินมัดจำที่รับไปจากโจทก์เพื่อให้ศาลวินิจฉัยคดีในประเด็นเดียวกันนั้นซ้ำอีก ฟ้องโจทก์คดีนี้จึงเป็นฟ้องซ้ำต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๘
อนึ่ง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกฟ้องโจทก์โดยไม่ได้สั่งเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมไม่ชอบเพราะคำสั่งในเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมแม้จะไม่มีคำขอของคู่ความฝ่ายใด ก็เป็นหน้าที่ของศาลจะต้องสั่งลงไว้ในคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๖๗ วรรคหนึ่ง แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดยกขึ้นกล่าวอ้าง ศาลฎีกามีอำนาจแก้ไขให้ถูกต้อง
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นและชั้นฎีกาให้เป็นพับ.

Share