คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2348/2528

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 304 วรรคแรกการยึดที่ดินมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) จะถือเป็น การยึดตามกฎหมาย เจ้าพนักงานบังคับคดีจะต้องแจ้งการยึดต่อ ลูกหนี้ตามคำพิพากษาและเจ้าพนักงานที่ดินหรือนายอำเภอผู้มี หน้าที่เกี่ยวกับที่ดินนั้นเพื่อให้เจ้าพนักงานที่ดินหรือนายอำเภอซึ่งเป็นนายทะเบียนควบคุมมิให้มีการโอน เปลี่ยนแปลง หรือก่อให้เกิดสิทธิอย่างอื่นในที่ดินที่ถูกยึดดังกล่าวและตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 305 (1) หมายความถึงการโอนเปลี่ยนแปลงและก่อให้เกิดสิทธิแก่ที่ดินหรือทรัพย์สินที่ถูกยึดหลังจากทำการยึดไว้โดยชอบแล้วเท่านั้น
ผู้ร้องได้รับจำนองที่ดินซึ่งยังไม่ถูกยึดโดยชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 305 (1) หากผู้ร้อง ไม่ทราบว่าที่ดินถูกยึดและรับจำนองโดยสุจริตก็มีผลบังคับใช้ยันโจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษากับ เจ้าพนักงานบังคับคดีได้

ย่อยาว

โจทก์เป็นฝ่ายชนะคดีและได้นำยึดทรัพย์ของจำเลยที่ ๑ เพื่อขายทอดตลาดชำระหนี้ตามคำพิพากษา โดยมีการยึดที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.๓)
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องได้รับจำนองที่ดินดังกล่าวของจำเลยที่ ๑ ไว้โดยสุจริตเสียค่าตอบแทนและจดทะเบียนสิทธิถูกต้องตามกฎหมายโดยผู้ร้องไม่ทราบเรื่องที่ดินนั้นถูกยึดเพราะเจ้าพนักงานบังคับคดีเพิ่งแจ้งการยึดทรัพย์ดังกล่าวไปยังนายอำเภอทุ่งเสลี่ยม ขอให้ศาลมีคำสั่งให้ผู้ร้องได้รับเงินจากการขายทอดตลาดทรัพย์รายนี้ก่อนเจ้าหนี้อื่นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๘๙
โจทก์ยื่นคำคัดค้านว่าโจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดที่ดินของจำเลยที่ ๑ แปลงดังกล่าวแล้ว จำเลยที่ ๑ ได้เอาที่ดินที่ถูกยึดไปจดทะเบียนจำนองไว้แก่ผู้ร้องในภายหลัง แม้ผู้ร้องจะรับจำนองไว้โดยสุจริต เสียค่าตอบแทนและไม่ทราบว่าเป็นทรัพย์ที่ถูกยึดไว้แล้ว การรับจำนองก็ไม่อาจใช้ยันต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีหรือเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๓๐๕ ผู้ร้องรู้หรือควรรู้อยู่แล้วว่าทรัพย์ดังกล่าวอยู่ในการบังคับคดีของศาลก็ยังรับจำนองไว้แสดงว่ามิได้กระทำโดยสุจริต ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานแล้ววินิจฉัยคดีว่าการที่ผู้ร้องรับจำนองที่ดินดังกล่าวในเวลาภายหลังจากที่ดินถูกยึด แม้ผู้ร้องจะรับจำนองไว้โดยสุจริต เสียค่าตอบแทนและจดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย ก็ใช้ยันโจทก์หรือเจ้าพนักงานบังคับคดีไม่ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๓๐๕ ให้ยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาสืบพยานต่อไปแล้วพิพากษาตามรูปคดี
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การยึดที่ดินอันเป็นอสังหาริมทรัพย์จะต้องปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๓๐๔ วรรคแรก ซึ่งบัญญัติว่า”การยึดอสังหาริมทรัพย์ของลูกหนี้ตามคำพิพากษานั้น ให้เจ้าพนักงานบังคับคดีจัดทำโดยนำเอาหนังสือสำคัญสำหรับทรัพย์สินนั้นมาและฝากไว้ ณ สถานที่ใดหรือแก่บุคคลใดตามที่เห็นสมควร และแจ้งการยึดนั้นให้ลูกหนี้ตามคำพิพากษาและเจ้าพนักงานที่ดินผู้มีหน้าที่ทราบ ให้เจ้าพนักงานที่ดินบันทึกการยึดไว้ในทะเบียนถ้าหนังสือสำคัญยังไม่ได้ออกหรือนำมาแสดงไม่ได้หรือหาไม่พบ ให้ถือว่าการที่ได้แจ้งการยึดต่อลูกหนี้ตามคำพิพากษาและเจ้าพนักงานที่ดินนั้นเป็นการยึดตามกฎหมายแล้ว” หมายความว่า การยึดที่ดินมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.๓) อย่างคดีนี้จะถือเป็นการยึดตามกฎหมาย เจ้าพนักงานบังคับคดีจะต้องแจ้งการยึดต่อลูกหนี้ตามคำพิพากษาและเจ้าพนักงานที่ดินหรือนายอำเภอผู้มีหน้าที่เกี่ยวกับที่ดินนั้นด้วย ทั้งนี้ก็เพื่อให้เจ้าพนักงานที่ดินหรือนายอำเภอซึ่งเป็นนายทะเบียนควบคุมมิให้มีการโอน เปลี่ยนแปลงหรือก่อให้เกิดสิทธิอย่างอื่นในที่ดินที่ถูกยึดดังกล่าวที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๓๐๕ (๑) บัญญัติว่า “การที่ลูกหนี้ตามคำพิพากษาได้ก่อให้เกิด โอนหรือเปลี่ยนแปลงซึ่งสิทธิในทรัพย์สินที่ถูกยึดภายหลังที่ได้ทำการยึดไว้แล้วนั้น หาอาจใช้ยันแก่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาหรือเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ไม่” ก็หมายความถึงการโอน เปลี่ยนแปลงและก่อให้เกิดสิทธิแก่ที่ดินหรือทรัพย์สินที่ถูกยึดหลังจากทำการยึดไว้โดยชอบแล้วเท่านั้น
คดีนี้ผู้ร้องได้รับจำนองที่ดินของจำเลยที่ ๑ และจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เมื่อวันที่ ๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๒๐ ขณะนั้นเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ยึดที่ดินดังกล่าวไว้ ๓ เดือนแล้ว แต่ก็ไม่ได้แจ้งให้นายอำเภอผู้มีหน้าที่ทราบ หลังจากนั้นต่อมาอีก ๕ ปี เจ้าพนักงานบังคับคดีจึงแจ้งการยึดต่อนายอำเภอผู้มีหน้าที่ ต้องถือว่าที่ดินแปลงนี้ถูกยึดตามกฎหมายโดยชอบตอนเจ้าพนักงานบังคับคดีได้แจ้งการยึดต่อนายอำเภอนี่เองก่อนนั้นและในขณะผู้ร้องรับจำนอง ต้องถือว่าที่ดินดังกล่าวยังไม่ถูกยึดโดยชอบตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๓๐๕ (๑) หากผู้ร้องไม่ทราบว่าที่ดินถูกยึดและรับจำนองโดยสุจริตก็มีผลบังคับใช้ยันโจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษากับเจ้าพนักงานบังคับคดีได้แต่โจทก์ได้คัดค้านว่าผู้ร้องรู้หรือควรจะรู้อยู่แล้วว่าที่ดินดังกล่าวอยู่ในการบังคับคดีของศาลและยังรับจำนองในราคาสูงกว่าปกติเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต ซึ่งจำเป็นต้องให้มีการสืบพยานเพื่อฟังข้อเท็จจริงต่อไปเสียก่อน ศาลอุทธรณ์ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นเพื่อให้ดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่ชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share